“คุณคือ CEO”
หลังจาก “เมื่อฉันอายุสามสิบ” เดินทางไปได้ดีกว่าที่คิด อีกทั้งการเตรียมตัวเพื่อถ่าย “คำถามเปลี่ยนชีวิต” จบสิ้นลง ผมเริ่มถามตัวเองอีกครั้งว่ายังมีความฝันใดเหลืออยู่บ้าง ตรวจสอบตัวเองไปเรื่อยๆก็ค้นพบความฝันสองชิ้นอยู่ในหัว ฝันแรกนั้นคือการได้เห็นหนังสือของตัวเองหลายเล่มวางขายอยู่ในร้านหนังสือพร้อมเพรียงกัน และเนื่องจาก “11 ความลับพลิกชีวิต” , “ความลับของที่ทำงาน” , “เมื่อฉันอายุสามสิบ” ออกห่างกันปีละ 1 เล่ม ผมจึงแทบไม่เคยได้เห็นมันวางขายร่วมกันเลย ฝันที่สองคือการได้มีคำนิยมของคนที่ประสบความสำเร็จอยู่ในหนังสือของผมบ้าง เรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้เลยหากผมไม่มีต้นฉบับที่มีคุณภาพพอ รวมถึงไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับบุคคลเหล่านั้น ผมเริ่มเค้นต้นฉบับในหัวออกมาอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทันในขณะที่เมื่อฉันอายุสามสิบยังวางอยู่ในแผง ถามหา passion ในช่วงเวลานั้นว่าผมสนใจสิ่งใด มารู้สึกตัวอีกทีก็นึกขึ้นได้ว่า ผมเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทำงานในออฟฟิศไปแล้ว แต่ก็เป็นลักษณะของคนทำงาน ไม่ใช่ลักษณะของผู้บริหาร ถึงกระนั้นจะเขียนสอนใครในส่วนของงานบริหารก็ลำบาก เพราะตัวผมเองก็ยังไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตขนาดนั้น อย่างไรก็ตามเรื่องของการจัดการชีวิตนั้นผมมีความรู้อยู่พอสมควร เลยคิดว่ามันน่าจะมีความแปลกใหม่หากเอาการบริหารองค์กรกับชีวิตมารวมกัน และแล้วต้นฉบับเล่มใหม่ก็เข้ามาอยู่ในหัวทันท่วงที ต้นฉบับเล่มนี้ถูกใส่หัวข้อไปทีละหมวดหมู่ ด้วยความที่ผมสนใจเรื่องการบริหารองค์กรมาหลายปีแล้ว ทำให้ใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถเตรียมหัวข้อได้ครบทั้งฉบับ จากนั้นใช้เวลาเกือบ 1 เดือนต้นฉบับก็เสร็จสิ้น แต่ถ้าพวกคุณจำกันได้ ความฝันของผมยังไม่หมด ผมนั่งทบทวนว่าใครบ้างที่ผมอยากให้เขียนคำนิยมให้กับหนังสือของผม สุดท้ายผมก็เลือกได้และหาทางอ้อนวอนให้ทุกท่านยอมสละเวลาอ่านต้นฉบับและเขียนคำนิยมให้ ผมได้ MD 1 ท่าน , President and Founder 1 ท่าน และสุดท้ายก็ได้ CEO อีก 1 ท่านให้ความเมตตา ในตอนที่นั่งอ่านคำนิยมผมปลาบปลื้มและรู้สึกดีมากที่จะได้เห็นข้อความเหล่านี้บนหนังสือของผม และเมื่อเนื้อหาของหนังสือยังคงเป็นแนวทางที่สำนักพิมพ์ต้องการ จึงได้รับการเซ็นต์สัญญาตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์เดิม และนี่เป็นหนึ่งในต้นฉบับที่ผมตื่นเต้นที่สุดที่จะได้เห็นมันออกมาเป็นเล่ม แต่แล้วมันก็มาเร็วเกินไป เร็วกว่าที่ผมคิด ด้วยความเร็วของมันทำให้ผมสงสัยและมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คำนิยมทั้งหมดไม่ได้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือเนื่องจากเราสื่อสารกันผิดพลาด ผมผิดหวังและเสียใจแต่ก็พยายามจะลุกขึ้นให้ได้โดยเร็วที่สุด ก่อนอื่นผมพยายามขอโทษทั้ง 3 ท่านที่เขียนคำนิยมให้กับผม บอกท่านถึงข่าวร้ายที่ผมได้รับ แต่ท่านนึงในนั้นบอกผมว่าไม่มีหรอกข่าวร้ายในโลกนี้ มันเป็นเพียงความรู้สึกของเราเองเท่านั้นที่เป็นคนเลือกให้มันเป็นข่าวร้าย ทันใดนั้นผมก็ฟื้นคืนสติ หลังจากคุยกับพี่บรรณาธิการที่เคารพรัก เราได้ข้อสรุปกันว่าในการตีพิมพ์ครั้งที่สองคำนิยมทั้งหมดจะอยู่ในหนังสืออีกครั้ง แน่นอนว่าจะได้ตีพิมพ์อีกครั้งนั้นยอดขายมันก็ต้องดีในระดับนึง ผมคงไม่สามารถอ้อนวอนให้ทุกคนซื้อหนังสือเล่มนี้เพียงเพราะความสงสาร แต่หากมีใครได้อ่านต้นฉบับแล้วก็จะรู้ว่าหนังสือเล่มนี้มีดีอยู่ในตัวของมันเองมากมาย ผมเชื่อว่าหากใครได้อ่านแล้วก็คงจะรู้ว่าผมไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด สำหรับผมมันคือนวัตกรรมชิ้นงามชิ้นนึงในร้านหนังสือเลยก็ว่าได้ ถึงกระนั้นผมยังคงรอให้นวัตกรรมชิ้นนี้ไปอยู่ที่บ้านของใครหลายคน เพราะเมื่อถึงวันนั้น ความฝันของผมจะเป็นจริงอีกครั้ง และทุกคนก็จะได้เห็นคำนิยมที่แสนอิ่มเอมเหล่านั้นไปด้วยกัน
0 Comments
|
Authorโค้ชเอก |