คุณสมบัติของพนักงานระดับ
"เหนือดุจเทวดา" ที่คุณต้องรู้
ในโลกที่ผู้ประกอบการรายเล็กๆเกิดขึ้นในทุกวินาที นั่นก็ทำให้เกือบ 80% ของมนุษย์เงินเดือนเริ่มจะต้องการจะหารายได้เพิ่ม เพราะรู้สึกว่ารายได้ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม มีอยู่อย่างนึงที่พวกเรามักจะหลงลืมกันไปครับ นั่นคือ จริงๆแล้วรายได้จากบริษัทนั้น คุณสามารถทำได้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่า เพียงแต่ว่า มันไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รายได้ระดับนั้นครับ ในแต่ละองค์กรมีคนเพียงแค่ 10% ที่มีรายได้มหาศาลมากกว่าพนักงานคนอื่นๆ และ ถ้าหากคุณอยากเป็นคนเหล่านั้น นี่คือคุณสมบัติของพนักงานระดับ "เหนือดุจเทวดา" ที่คุณต้องรู้
1. พวกเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ
แน่นอนว่าพวกเขาก็เป็นพนักงานเหมือนกับคุณล่ะครับ แต่อาจจะได้รับค่าตอบแทนแตกต่างกับคุณ (มาก) เพียงแต่ที่มาของค่าตอบแทนเหล่านั้นมาจากวิธีคิดและวิธีการทำงานของพวกเขา ที่ไม่ได้มองว่าตัวเองคือพนักงาน แต่มองว่าตัวเองคือส่วนหนึ่งของบริษัทที่ช่วยขับเคลื่อนให้บริษัทประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ มากไปกว่านั้นบางคนยังรู้สึกว่าตัวเองเปรียบเสมือนเจ้าของบริษัทคนนึง เพราะฉะนั้นวิธีคิดในการทำงานจะแตกต่างกับคนที่คิดว่าตัวเองแค่รอรับเงินเดือนจากบริษัทไปวันๆครับ การตัดสินใจต่างๆของเขาจะเป็นระดับ Company Level คือทำอย่างไรบริษัทจะได้ประโยชน์ ไม่ใช่คิดว่าทำอย่างไรตัวเองจะได้ประโยชน์ หรือแผนกตัวเองจะได้ประโยชน์ เรียกว่าคนเหล่านี้ใช้หลัก Intrapurnure หรือคิดว่าตัวเองเป็นผู้ประกอบการภายในองค์กรอยู่นั่นเอง
2. พวกเขาสามารถแก้ปัญหาที่ใหญ่ได้ดีกว่าคุณ
ทุกบริษัทมีปัญหาครับ และพนักงานทุกคนก็ถูกจ้างมาเพื่อให้แก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป เช่นกันครับ รายได้ที่เราได้รับนั้น มันก็ตอบแทนให้กับปัญหาที่เราแก้นั่นเอง ถ้าคุณแก้ปัญหาได้เล็ก รายได้ของคุณก็น้อย ถ้าคุณแก้ปัญหาใหญ่ๆได้ รายได้ของคุณก็เยอะ แล้วคุณลองคิดดูอีกทีครับว่า ปกติเวลาเจอปัญหาใหญ่ๆ คนส่วนมากในองค์กรทำอย่างไรกับมันครับ แน่นอนคนจำนวนหนึ่งใช้วิธีบ่นครับ บ่นกับเพื่อน บ่นกับหัวหน้า บ่นกับลูกน้อง บ่นลง facebook แต่ไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ คนอีกกลุ่มนึงใช้วิธีเพิกเฉยครับ ตัวเองได้เงินเดือนพอใช้อยู่แล้ว จะไปสนใจทำไม ปล่อยให้ใครที่อยากแก้ปัญหา เขาแก้ไปดีกว่า และแน่นอนครับ พนักงาน 10% บนสุดขององค์กรจะเป็นคนแก้ปัญหาเหล่านี้ พวกเขาก้มหน้าก้มตาแก้ปัญหามากกว่าที่จะเพิกเฉยหรือเอาแต่บ่น ใช่แล้วครับ และค่าตอบแทนของการแก้ปัญหาใหญ่ที่ทุกคนหลีกหนีเหล่านี้ ก็มหาศาลเลยทีเดียว
3. พวกเขามีผลงานเยอะกว่าคุณและไม่เคยบ่นว่างานเยอะ
อย่างที่คำโบราณว่าไว้ล่ะครับ ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน และแน่นอนว่าพนักงานระดับบนสุดก็มักจะมีผลงานที่เยอะกว่าพนักงานคนอื่นๆ เพราะด้วยความสามารถของเขาที่สามารถทำให้งานเสร็จลุล่วงได้เร็วกว่ากำหนดและมีประสิทธิภาพสูงกว่าที่หัวหน้าต้องการด้วยซ้ำ ทำให้เขามักจะได้งานเพิ่ม ได้งานเยอะกว่าคนอื่น ซึ่งถ้าเป็นพนักงานทั่วไป การได้งานเพิ่ม ได้งานเยอะกว่าคนอื่น ก็ย่อมจะทำให้พนักงานธรรมดาๆเริ่มท้อ เริ่มบ่น เริ่มไม่มีความสุข แต่ไม่ใช่กับพนักงานระดับเหนือดุจเทวดาพวกนั้นครับ เพราะพวกเขารู้ว่า งานที่เยอะขึ้นนั้น จะเป็นที่มาของรายได้ที่เยอะกว่าคนอื่น (มาก) ซึ่งจะตามมาหลังจากปริมาณงานที่เยอะขึ้นนั่นเอง และงานที่พวกเขาได้รับก็มักจะไม่ใช่งานที่น่าเบื่อ เพราะงานที่น่าเบื่อ มันไม่จำเป็นต้องถึงมือพวกเขานั่นเอง เพราะฉะนั้นพนักงานระดับนี้ก็มักจะได้งานที่ท้าทาย งานที่สนุก และเป็นงานสำหรับพนักงานขั้นสุดยอดนั่นเอง
4. พวกเขามี connection ที่ดีและรู้วิธีโน้มน้าวผู้คน
ใช่ครับ จะให้เก่งมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำงานทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้จะรู้ดีว่างานไหนเขาควรจะให้ใครช่วย และจะโน้มน้าวอย่างไรให้คนเหล่านั้นช่วยงานเขาให้ลุล่วงไปด้วยดี แตกต่างจากพนักงานระดับธรรมดาที่มี connection บ้างไม่มีบ้าง หรือมีแต่ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้ และที่สำคัญคือมักจะโน้มน้าวไม่สำเร็จ และต้องเอางานกลับมาทำเองอยู่เสมอ ทำให้งานเยอะขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มท้อลงทุกที นั่นล่ะครับ พนักงานระดับสุดยอดก็มักจะมี connection ที่สุดยอด เพราะคนที่ทำงานเก่งก็ย่อมอยากจะทำงานกับคนเก่งเหมือนกัน ใช่ไหมล่ะครับ
5. พวกเขาคิดบวกและมองว่าปัญหาทุกอย่างคือความท้าทาย
ข้อสุดท้ายคือเรื่องพื้นฐานที่เราได้ยินกันมาหลายต่อหลายปี แต่เชื่อเถอะครับว่าถึงเวลาจริงๆ มีไม่กี่คนที่สามารถทำได้จริงๆ พนักงานส่วนใหญ่ยังคิดลบและหลีกเลี่ยงปัญหา มองว่าการหลบเป็นวิธีที่ดีที่สุด ทำให้สุดท้ายตัวเองก็ไม่พัฒนาไปไหน เพราะสิ่งที่จะเพิ่มศักยภาพให้ตัวคุณมากที่สุดก็คือการก้าวผ่านปัญหาที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆนั่นเอง ซึ่งพนักงานระดับสุดยอดจะมองว่าสิ่งเหล่านี้คือความท้าทายทั้งสิ้น พวกเขารู้ว่าถ้าหากเขาผ่านมันไปได้ ตัวเองก็จะทำงานได้เก่งมากยิ่งขึ้น และแน่นอน มันก็เป็นที่มาของรายได้ที่มากกว่าคนอื่นหลายเท่านัก
เอาล่ะครับ และนี่คือประสบการณ์ตรงของผมที่มองว่า ในยุคสมัยปัจจุบัน หากคุณต้องการหารายได้เพิ่มในขณะที่ทำงานประจำอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย และไม่จำเป็นต้องหาช่องทางใหม่เลยก็ยังได้ อยู่ที่คุณมีความตั้งใจพอหรือเปล่าเท่านั้นเองครับ แต่อย่าลืมนะครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานมันไม่ใช่เงินนะครับ ผมยังอยากให้ทุกคนทำงานที่มีความหมายกับตัวคุณและมีความหมายกับคนอื่นอยู่นะครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
1. พวกเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ
แน่นอนว่าพวกเขาก็เป็นพนักงานเหมือนกับคุณล่ะครับ แต่อาจจะได้รับค่าตอบแทนแตกต่างกับคุณ (มาก) เพียงแต่ที่มาของค่าตอบแทนเหล่านั้นมาจากวิธีคิดและวิธีการทำงานของพวกเขา ที่ไม่ได้มองว่าตัวเองคือพนักงาน แต่มองว่าตัวเองคือส่วนหนึ่งของบริษัทที่ช่วยขับเคลื่อนให้บริษัทประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ มากไปกว่านั้นบางคนยังรู้สึกว่าตัวเองเปรียบเสมือนเจ้าของบริษัทคนนึง เพราะฉะนั้นวิธีคิดในการทำงานจะแตกต่างกับคนที่คิดว่าตัวเองแค่รอรับเงินเดือนจากบริษัทไปวันๆครับ การตัดสินใจต่างๆของเขาจะเป็นระดับ Company Level คือทำอย่างไรบริษัทจะได้ประโยชน์ ไม่ใช่คิดว่าทำอย่างไรตัวเองจะได้ประโยชน์ หรือแผนกตัวเองจะได้ประโยชน์ เรียกว่าคนเหล่านี้ใช้หลัก Intrapurnure หรือคิดว่าตัวเองเป็นผู้ประกอบการภายในองค์กรอยู่นั่นเอง
2. พวกเขาสามารถแก้ปัญหาที่ใหญ่ได้ดีกว่าคุณ
ทุกบริษัทมีปัญหาครับ และพนักงานทุกคนก็ถูกจ้างมาเพื่อให้แก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป เช่นกันครับ รายได้ที่เราได้รับนั้น มันก็ตอบแทนให้กับปัญหาที่เราแก้นั่นเอง ถ้าคุณแก้ปัญหาได้เล็ก รายได้ของคุณก็น้อย ถ้าคุณแก้ปัญหาใหญ่ๆได้ รายได้ของคุณก็เยอะ แล้วคุณลองคิดดูอีกทีครับว่า ปกติเวลาเจอปัญหาใหญ่ๆ คนส่วนมากในองค์กรทำอย่างไรกับมันครับ แน่นอนคนจำนวนหนึ่งใช้วิธีบ่นครับ บ่นกับเพื่อน บ่นกับหัวหน้า บ่นกับลูกน้อง บ่นลง facebook แต่ไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ คนอีกกลุ่มนึงใช้วิธีเพิกเฉยครับ ตัวเองได้เงินเดือนพอใช้อยู่แล้ว จะไปสนใจทำไม ปล่อยให้ใครที่อยากแก้ปัญหา เขาแก้ไปดีกว่า และแน่นอนครับ พนักงาน 10% บนสุดขององค์กรจะเป็นคนแก้ปัญหาเหล่านี้ พวกเขาก้มหน้าก้มตาแก้ปัญหามากกว่าที่จะเพิกเฉยหรือเอาแต่บ่น ใช่แล้วครับ และค่าตอบแทนของการแก้ปัญหาใหญ่ที่ทุกคนหลีกหนีเหล่านี้ ก็มหาศาลเลยทีเดียว
3. พวกเขามีผลงานเยอะกว่าคุณและไม่เคยบ่นว่างานเยอะ
อย่างที่คำโบราณว่าไว้ล่ะครับ ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน และแน่นอนว่าพนักงานระดับบนสุดก็มักจะมีผลงานที่เยอะกว่าพนักงานคนอื่นๆ เพราะด้วยความสามารถของเขาที่สามารถทำให้งานเสร็จลุล่วงได้เร็วกว่ากำหนดและมีประสิทธิภาพสูงกว่าที่หัวหน้าต้องการด้วยซ้ำ ทำให้เขามักจะได้งานเพิ่ม ได้งานเยอะกว่าคนอื่น ซึ่งถ้าเป็นพนักงานทั่วไป การได้งานเพิ่ม ได้งานเยอะกว่าคนอื่น ก็ย่อมจะทำให้พนักงานธรรมดาๆเริ่มท้อ เริ่มบ่น เริ่มไม่มีความสุข แต่ไม่ใช่กับพนักงานระดับเหนือดุจเทวดาพวกนั้นครับ เพราะพวกเขารู้ว่า งานที่เยอะขึ้นนั้น จะเป็นที่มาของรายได้ที่เยอะกว่าคนอื่น (มาก) ซึ่งจะตามมาหลังจากปริมาณงานที่เยอะขึ้นนั่นเอง และงานที่พวกเขาได้รับก็มักจะไม่ใช่งานที่น่าเบื่อ เพราะงานที่น่าเบื่อ มันไม่จำเป็นต้องถึงมือพวกเขานั่นเอง เพราะฉะนั้นพนักงานระดับนี้ก็มักจะได้งานที่ท้าทาย งานที่สนุก และเป็นงานสำหรับพนักงานขั้นสุดยอดนั่นเอง
4. พวกเขามี connection ที่ดีและรู้วิธีโน้มน้าวผู้คน
ใช่ครับ จะให้เก่งมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำงานทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้จะรู้ดีว่างานไหนเขาควรจะให้ใครช่วย และจะโน้มน้าวอย่างไรให้คนเหล่านั้นช่วยงานเขาให้ลุล่วงไปด้วยดี แตกต่างจากพนักงานระดับธรรมดาที่มี connection บ้างไม่มีบ้าง หรือมีแต่ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้ และที่สำคัญคือมักจะโน้มน้าวไม่สำเร็จ และต้องเอางานกลับมาทำเองอยู่เสมอ ทำให้งานเยอะขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มท้อลงทุกที นั่นล่ะครับ พนักงานระดับสุดยอดก็มักจะมี connection ที่สุดยอด เพราะคนที่ทำงานเก่งก็ย่อมอยากจะทำงานกับคนเก่งเหมือนกัน ใช่ไหมล่ะครับ
5. พวกเขาคิดบวกและมองว่าปัญหาทุกอย่างคือความท้าทาย
ข้อสุดท้ายคือเรื่องพื้นฐานที่เราได้ยินกันมาหลายต่อหลายปี แต่เชื่อเถอะครับว่าถึงเวลาจริงๆ มีไม่กี่คนที่สามารถทำได้จริงๆ พนักงานส่วนใหญ่ยังคิดลบและหลีกเลี่ยงปัญหา มองว่าการหลบเป็นวิธีที่ดีที่สุด ทำให้สุดท้ายตัวเองก็ไม่พัฒนาไปไหน เพราะสิ่งที่จะเพิ่มศักยภาพให้ตัวคุณมากที่สุดก็คือการก้าวผ่านปัญหาที่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆนั่นเอง ซึ่งพนักงานระดับสุดยอดจะมองว่าสิ่งเหล่านี้คือความท้าทายทั้งสิ้น พวกเขารู้ว่าถ้าหากเขาผ่านมันไปได้ ตัวเองก็จะทำงานได้เก่งมากยิ่งขึ้น และแน่นอน มันก็เป็นที่มาของรายได้ที่มากกว่าคนอื่นหลายเท่านัก
เอาล่ะครับ และนี่คือประสบการณ์ตรงของผมที่มองว่า ในยุคสมัยปัจจุบัน หากคุณต้องการหารายได้เพิ่มในขณะที่ทำงานประจำอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย และไม่จำเป็นต้องหาช่องทางใหม่เลยก็ยังได้ อยู่ที่คุณมีความตั้งใจพอหรือเปล่าเท่านั้นเองครับ แต่อย่าลืมนะครับ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานมันไม่ใช่เงินนะครับ ผมยังอยากให้ทุกคนทำงานที่มีความหมายกับตัวคุณและมีความหมายกับคนอื่นอยู่นะครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ