ชีวิตคือ...มาราธอน
ผมพึ่งอ่านหนังสือเรื่อง HOMO finisher ของคุณนิ้วกลมจบไปครับ อ่านไปได้ครึ่งเล่มก็อดรนทนไม่ไหวต้องสวมรองเท้าออกไปซ้อมวิ่งตามเป้าหมายของตัวเองทันที และไฟในการทำ “ภารกิจ” เกี่ยวกับการวิ่ง ที่ตัวเองตั้งขึ้นมานั้นก็ยังคุโชนอยู่ในหัวใจ อีกทั้งไม่มีทีท่าว่าจะมอดไหม้ไปง่ายๆอีกด้วย เรียกว่าเป็นหนังสือที่สร้างการเปลี่ยนแปลงภายในตัวให้กับเหล่าผู้คนที่มี finisher ซ่อนอยู่ในตัวได้ดีมากทีเดียวเชียวครับ
ในแต่ละบทนั้นก็เล่าถึงภารกิจและการลงมือทำในแต่ละช่วงของการฝึกซ้อมของผู้เขียนเล่าอย่างละเอียดราวกับว่าเอาสมุดไปจดสิ่งต่างๆในขณะที่วิ่งไปด้วย มันทำให้เราเห็นภาพความมุ่งมั่น ความพยายาม ความเจ็บปวด ความท้อถอย และกลับมาลุกขึ้นสู้ จนบางทีอยากจะบอกว่า ผมได้ประสบการณ์การวิ่งมาราธอนมาเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ต้องลงไปวิ่งเองด้วยซ้ำ แต่มาจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ใครมีโอกาสอยากให้ลองอ่านกันดูนะครับ ไม่สำคัญว่าคุณจะชอบการวิ่งหรือไม่ ไม่สำคัญว่าภารกิจของคุณจะคือการวิ่งหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่ามันจะทำให้ไฟในตัวคุณลุกโชนขึ้นอย่างแน่นอน
และสิ่งที่ผมตกผลึกอย่างมากมายหลังจากอ่านจบก็ตามชื่อเรื่องของบทนี้ล่ะครับ “ชีวิตคือมาราธอน” การวิ่งมาราธอนมีข้อดีอย่างหนึ่งที่มนุษย์เรามักจะอยากได้มันในชีวิตจริง ในการแข่งขันของโลกแห่งการทำงาน โลกแห่งการใช้ชีวิต นั่นคือ pace หรือความเร็วเฉลี่ยต่อหนึ่งกิโลเมตรในการวิ่งของคุณเมื่อจบการแข่งขันนั้นไม่เคยหลอกหลวง ไม่มีคำว่าดวง ไม่มีคำว่าฟลุ๊ค มันคือผลรวมของการฝึกซ้อมทั้งหมดที่คุณทำมาตลอดช่วงระยะเวลาที่คุณเตรียมตัว แน่นอนครับมนุษย์ทุกคนมีต้นทุนต่างกัน บางคนอาจจะขายาวกว่า มีช่วงก้าวที่ดีกว่า บางคนอาจจะมีระบบหายใจที่ดีกว่า บางคนอาจจะเหนื่อยยากกว่าคนอื่น แต่ถึงกระนั้น เขาไม่มีทางจบมาราธอนได้โดยไม่ฝึกซ้อม และเวลาที่เขาจบได้นั้น ก็เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเตรียมตัว แสดงถึงเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ เวลาเท่ากันแต่ละคนก็อาจจะรู้สึกต่างกัน บางคนพึ่งวิ่งครั้งแรกก็อาจจะรู้สึกดีกับเวลานี้ แต่คนที่เคยผ่านมาราธอนมาแล้ว ก็อาจจะรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เพราะอยากจะได้เวลาที่ดีกว่านี้
นั่นล่ะครับ มาราธอนนั้นแต่ละคนมีเป้าหมายแตกต่างกันไป ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนต่างก็แข่งกับตัวเองครับ และเมื่อมีคนชนะ สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่มีใครต้องแพ้ เพราะทุกคนแข่งกับเป้าหมายของตัวเอง แข่งกับความเชื่อของตัวเอง แข่งกับวินัย ความมุ่งมั่น รวมถึงแข่งกับตัวขี้เกียจ ตัวยอมแพ้ที่อาศัยอยู่ในใจของเราทุกคน
เวลาที่เราวิ่งซ้อม ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม เรามักจะเห็นผู้คนมากมายวิ่งไปพร้อมกับเรา บางคนก็เร็วกว่าเราแบบไม่มีทางตามทัน บางคนก็ช้ากว่าเราแบบไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่เราทราบมีเพียงความเร็ว แต่เราไม่ทราบเลยว่า เป้าหมายของเขานั้นคืออะไร เขาอยากวิ่งกี่รอบ อยากวิ่งไกลแค่ไหน อยากทำเวลาเท่าไร และเขาวิ่งไปเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นถึงแม้เขาจะแซงเราไป หรือเราจะแซงเขาไป ก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ทำให้ใครแพ้ ใครชนะ เพราะเราต่างก็วิ่งเพื่อเป้าหมายของเรา ไม่ใช่เพื่อเอาชนะใครอื่นเลย
และนั่นล่ะครับ ชีวิตก็คือมาราธอนแบบนึง ไม่สิ ชีวิตที่ดีต่างหาก คือมาราธอน ผมเคยฟังประสบการณ์จากผู้บริหารท่านนึงที่เล่าให้ฟังว่า เขาเคยถามหัวหน้าเขาว่า ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ ที่ตัวเองยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเพื่อน 4-5 ขั้น ทั้งที่เรียนจบมาด้วยกัน และเข้ามาทำงานพร้อมๆกัน ที่บริษัทเดียวกัน คำตอบที่ได้นั้นค่อนข้างแปลก เขาบอกว่า โอกาสของคนเราไม่เหมือนกัน ความสำเร็จของคนเราไม่เหมือนกัน ถ้าเราอดทน มุ่งมั่น และยังคงพัฒนาตัวเองต่อไป วันนึง โอกาสก็จะเป็นของเรา ฟังดูเหมือนการวิ่งมาราธอนไหมครับ ไม่ว่าใครจะเข้าเส้นชัยได้เร็วแค่ไหนก็ช่างเขา แต่ถ้าเรายังคงไม่หยุดวิ่ง วันนึง เราก็จะเข้าเส้นชัย เข้าช้าเข้าเร็วไม่สำคัญ มันอยู่ที่เป้าหมายของเราต่างหากครับ ว่าอยู่ที่ตรงไหน
บางทีเรียนจบมาด้วยกัน เราก็มักจะอดเปรียบเทียบไม่ได้ ทำไมเราเรียนดีกว่าแต่เพื่อนคนนี้รวยกว่า ทำไมบริษัทเราไม่ส่งไปต่างประเทศบ้าง ทำไมคนนั้นคนนี้ได้ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ เปรียบเทียบแล้วก็ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ดี แต่ถ้าลองคิดว่าชีวิตมันคือการแข่งขันกับตัวเองในระยะยาว เราก็จะเข้าใจว่าสุดท้ายถ้าเรายังคงวิ่งต่อไป รักษาความเร็วของตัวเองเอาไว้ เราทุกคนก็จะเข้าเส้นชัยเช่นเดียวกัน บางคนอาจจะวิ่งเร็วในตอนแรกแล้วค่อยๆหมดแรง อาจจะถูกเราแซงปลายเข้าเส้นชัยก่อนก็ได้ หรืออาจจะไปเข้าเส้นชัยพร้อมกัน หรือว่าเราอาจจะวิ่งช้ากว่า เข้าเส้นชัยทีหลัง แต่ขอแค่ชนะในตัวเอง ชนะเป้าหมายที่เราวางไว้ แค่นั้นก็เพียงพอที่จะมีความสุขแล้วไม่ใช่หรือ
ฐานะหรือรายได้ แม้กระทั่งเงินเดือน มันไม่ใช่ความเร็วในการวิ่งหรอกครับ บางทีมีเพื่อนหรือรุ่นน้องย้ายงานแล้วได้เงินเดือนเพิ่มแบบก้าวกระโดด เราอาจจะรู้สึกว่า เขาวิ่งเร็วกว่าเรา น่าจะเข้าเส้นชัยได้ดีกว่า แต่การวิ่งที่ถูกต้องคือการรักษาความเร็วของตัวเองให้สม่ำเสมอ เท่าที่ศักยภาพเราจะมี เท่าที่เราซ้อมมา ไม่ใช่การกระโดดเดี๋ยวช้า เดี๋ยวเร็ว วันนึงมันก็อาจจะล้มได้ แต่นั่นล่ะครับ รายได้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง ความสุขในการได้ใช้ศักยภาพของตัวเอง ความท้าทาย เพื่อน ครอบครัว ความรัก ทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งของความเร็วที่คุณต้องรักษาไว้ให้สม่ำเสมอทั้งสิ้น
สิ่งเดียวที่ชีวิตจริงแตกต่างกับมาราธอน คือมันยังมีบ้างที่ต้นทุนชีวิตที่ต่างกัน ทำให้เราไม่สามารถที่จะเอาชนะใครบางคนได้ โอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน รวมไปถึงบางครั้ง ดวงมันก็เกิดขึ้นกับใครบางคนจริงๆ ในขณะที่มาราธอน การซ้อมและหัวใจคือทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นทำให้นักวิ่งหลายคนหลงใหลมาราธอนเพราะรู้สึกว่า มันให้ความยุติธรรมกว่า คนที่ซ้อมมาดีกว่าและหัวใจแข็งแรงกว่า ย่อมจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ไม่เหมือนชีวิตจริง ที่ไม่มีอะไรการันตี
ถึงกระนั้นผมก็เชื่อว่า ถ้าต้นทุนเราเท่ากัน คนที่มุ่งมั่งลงมือทำมากกว่าและมีหัวใจที่แข็งแรงกว่า ก็ย่อมจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน เพียงแต่ผลที่ว่านั้น ต้องดูกันในระยะยาว เพราะชีวิตไม่ใช่การแข่งขันระยะสั้น ที่จะมาวัดกันแค่ 2- 3 ปี แต่อย่างที่บอกล่ะครับ สุดท้ายแล้ว ชัยชนะที่สำคัญ คือการชนะตัวเอง ชนะเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ เป็นเป้าหมายที่เหมาะกับตัวเอง ท้าทาย เรียกร้องศักยภาพ แต่ไม่ได้เกินเลยจนไม่มีทางสำเร็จลุล่วง
ระหว่างที่เรากำลังวิ่งอย่างเงียบๆ แต่ถ้าเข้าใกล้เป้าหมาย หัวใจเราย่อมอึกทึกครึกโครมอยู่ภายใน มันเป็นความสุขชนิดนึงที่พวก finisher เท่านั้นที่จะรู้ ไม่แปลกที่เวลาเราวิ่งแซงใคร เขากลับยิ้มให้เรา เพราะเขาเองก็กำลังทำตามเป้าหมายของตัวเองอยู่อย่างเคร่งครัด และเขารู้ว่า ไม่ว่าเราจะแซงไปไกลแค่ไหน ก็ไม่ได้มีผลกับชัยชนะของเขาเลย ถ้าชีวิตจริงเราคิดแบบนี้ได้ ผมว่าเราจะมีความสุขในทุกวันนะครับ
จำไว้นะครับว่า ไม่มีประโยชน์หรอกที่ในวันนี้ใครจะรายได้เยอะกว่าคุณ ประสบความสำเร็จมากกว่าคุณ มีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่เหนือกว่าคุณ เพราะถ้าคุณยังคงไม่หยุดวิ่ง ยังคงรักษาความเร็วของคุณเอาไว้ ไม่ว่าจะอย่างไร คุณจะเป็นคนพิชิตเส้นชัยแห่งชีวิตนี้ได้อย่างแน่นอน
ไปครับ หยิบรองเท้าไปลุยกันได้แล้ว
ในแต่ละบทนั้นก็เล่าถึงภารกิจและการลงมือทำในแต่ละช่วงของการฝึกซ้อมของผู้เขียนเล่าอย่างละเอียดราวกับว่าเอาสมุดไปจดสิ่งต่างๆในขณะที่วิ่งไปด้วย มันทำให้เราเห็นภาพความมุ่งมั่น ความพยายาม ความเจ็บปวด ความท้อถอย และกลับมาลุกขึ้นสู้ จนบางทีอยากจะบอกว่า ผมได้ประสบการณ์การวิ่งมาราธอนมาเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ต้องลงไปวิ่งเองด้วยซ้ำ แต่มาจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ใครมีโอกาสอยากให้ลองอ่านกันดูนะครับ ไม่สำคัญว่าคุณจะชอบการวิ่งหรือไม่ ไม่สำคัญว่าภารกิจของคุณจะคือการวิ่งหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่ามันจะทำให้ไฟในตัวคุณลุกโชนขึ้นอย่างแน่นอน
และสิ่งที่ผมตกผลึกอย่างมากมายหลังจากอ่านจบก็ตามชื่อเรื่องของบทนี้ล่ะครับ “ชีวิตคือมาราธอน” การวิ่งมาราธอนมีข้อดีอย่างหนึ่งที่มนุษย์เรามักจะอยากได้มันในชีวิตจริง ในการแข่งขันของโลกแห่งการทำงาน โลกแห่งการใช้ชีวิต นั่นคือ pace หรือความเร็วเฉลี่ยต่อหนึ่งกิโลเมตรในการวิ่งของคุณเมื่อจบการแข่งขันนั้นไม่เคยหลอกหลวง ไม่มีคำว่าดวง ไม่มีคำว่าฟลุ๊ค มันคือผลรวมของการฝึกซ้อมทั้งหมดที่คุณทำมาตลอดช่วงระยะเวลาที่คุณเตรียมตัว แน่นอนครับมนุษย์ทุกคนมีต้นทุนต่างกัน บางคนอาจจะขายาวกว่า มีช่วงก้าวที่ดีกว่า บางคนอาจจะมีระบบหายใจที่ดีกว่า บางคนอาจจะเหนื่อยยากกว่าคนอื่น แต่ถึงกระนั้น เขาไม่มีทางจบมาราธอนได้โดยไม่ฝึกซ้อม และเวลาที่เขาจบได้นั้น ก็เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเตรียมตัว แสดงถึงเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ เวลาเท่ากันแต่ละคนก็อาจจะรู้สึกต่างกัน บางคนพึ่งวิ่งครั้งแรกก็อาจจะรู้สึกดีกับเวลานี้ แต่คนที่เคยผ่านมาราธอนมาแล้ว ก็อาจจะรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เพราะอยากจะได้เวลาที่ดีกว่านี้
นั่นล่ะครับ มาราธอนนั้นแต่ละคนมีเป้าหมายแตกต่างกันไป ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนต่างก็แข่งกับตัวเองครับ และเมื่อมีคนชนะ สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่มีใครต้องแพ้ เพราะทุกคนแข่งกับเป้าหมายของตัวเอง แข่งกับความเชื่อของตัวเอง แข่งกับวินัย ความมุ่งมั่น รวมถึงแข่งกับตัวขี้เกียจ ตัวยอมแพ้ที่อาศัยอยู่ในใจของเราทุกคน
เวลาที่เราวิ่งซ้อม ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม เรามักจะเห็นผู้คนมากมายวิ่งไปพร้อมกับเรา บางคนก็เร็วกว่าเราแบบไม่มีทางตามทัน บางคนก็ช้ากว่าเราแบบไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่เราทราบมีเพียงความเร็ว แต่เราไม่ทราบเลยว่า เป้าหมายของเขานั้นคืออะไร เขาอยากวิ่งกี่รอบ อยากวิ่งไกลแค่ไหน อยากทำเวลาเท่าไร และเขาวิ่งไปเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นถึงแม้เขาจะแซงเราไป หรือเราจะแซงเขาไป ก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ทำให้ใครแพ้ ใครชนะ เพราะเราต่างก็วิ่งเพื่อเป้าหมายของเรา ไม่ใช่เพื่อเอาชนะใครอื่นเลย
และนั่นล่ะครับ ชีวิตก็คือมาราธอนแบบนึง ไม่สิ ชีวิตที่ดีต่างหาก คือมาราธอน ผมเคยฟังประสบการณ์จากผู้บริหารท่านนึงที่เล่าให้ฟังว่า เขาเคยถามหัวหน้าเขาว่า ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ ที่ตัวเองยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าเพื่อน 4-5 ขั้น ทั้งที่เรียนจบมาด้วยกัน และเข้ามาทำงานพร้อมๆกัน ที่บริษัทเดียวกัน คำตอบที่ได้นั้นค่อนข้างแปลก เขาบอกว่า โอกาสของคนเราไม่เหมือนกัน ความสำเร็จของคนเราไม่เหมือนกัน ถ้าเราอดทน มุ่งมั่น และยังคงพัฒนาตัวเองต่อไป วันนึง โอกาสก็จะเป็นของเรา ฟังดูเหมือนการวิ่งมาราธอนไหมครับ ไม่ว่าใครจะเข้าเส้นชัยได้เร็วแค่ไหนก็ช่างเขา แต่ถ้าเรายังคงไม่หยุดวิ่ง วันนึง เราก็จะเข้าเส้นชัย เข้าช้าเข้าเร็วไม่สำคัญ มันอยู่ที่เป้าหมายของเราต่างหากครับ ว่าอยู่ที่ตรงไหน
บางทีเรียนจบมาด้วยกัน เราก็มักจะอดเปรียบเทียบไม่ได้ ทำไมเราเรียนดีกว่าแต่เพื่อนคนนี้รวยกว่า ทำไมบริษัทเราไม่ส่งไปต่างประเทศบ้าง ทำไมคนนั้นคนนี้ได้ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ เปรียบเทียบแล้วก็ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ดี แต่ถ้าลองคิดว่าชีวิตมันคือการแข่งขันกับตัวเองในระยะยาว เราก็จะเข้าใจว่าสุดท้ายถ้าเรายังคงวิ่งต่อไป รักษาความเร็วของตัวเองเอาไว้ เราทุกคนก็จะเข้าเส้นชัยเช่นเดียวกัน บางคนอาจจะวิ่งเร็วในตอนแรกแล้วค่อยๆหมดแรง อาจจะถูกเราแซงปลายเข้าเส้นชัยก่อนก็ได้ หรืออาจจะไปเข้าเส้นชัยพร้อมกัน หรือว่าเราอาจจะวิ่งช้ากว่า เข้าเส้นชัยทีหลัง แต่ขอแค่ชนะในตัวเอง ชนะเป้าหมายที่เราวางไว้ แค่นั้นก็เพียงพอที่จะมีความสุขแล้วไม่ใช่หรือ
ฐานะหรือรายได้ แม้กระทั่งเงินเดือน มันไม่ใช่ความเร็วในการวิ่งหรอกครับ บางทีมีเพื่อนหรือรุ่นน้องย้ายงานแล้วได้เงินเดือนเพิ่มแบบก้าวกระโดด เราอาจจะรู้สึกว่า เขาวิ่งเร็วกว่าเรา น่าจะเข้าเส้นชัยได้ดีกว่า แต่การวิ่งที่ถูกต้องคือการรักษาความเร็วของตัวเองให้สม่ำเสมอ เท่าที่ศักยภาพเราจะมี เท่าที่เราซ้อมมา ไม่ใช่การกระโดดเดี๋ยวช้า เดี๋ยวเร็ว วันนึงมันก็อาจจะล้มได้ แต่นั่นล่ะครับ รายได้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง ความสุขในการได้ใช้ศักยภาพของตัวเอง ความท้าทาย เพื่อน ครอบครัว ความรัก ทุกอย่างเป็นส่วนหนึ่งของความเร็วที่คุณต้องรักษาไว้ให้สม่ำเสมอทั้งสิ้น
สิ่งเดียวที่ชีวิตจริงแตกต่างกับมาราธอน คือมันยังมีบ้างที่ต้นทุนชีวิตที่ต่างกัน ทำให้เราไม่สามารถที่จะเอาชนะใครบางคนได้ โอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน รวมไปถึงบางครั้ง ดวงมันก็เกิดขึ้นกับใครบางคนจริงๆ ในขณะที่มาราธอน การซ้อมและหัวใจคือทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นทำให้นักวิ่งหลายคนหลงใหลมาราธอนเพราะรู้สึกว่า มันให้ความยุติธรรมกว่า คนที่ซ้อมมาดีกว่าและหัวใจแข็งแรงกว่า ย่อมจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ไม่เหมือนชีวิตจริง ที่ไม่มีอะไรการันตี
ถึงกระนั้นผมก็เชื่อว่า ถ้าต้นทุนเราเท่ากัน คนที่มุ่งมั่งลงมือทำมากกว่าและมีหัวใจที่แข็งแรงกว่า ก็ย่อมจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน เพียงแต่ผลที่ว่านั้น ต้องดูกันในระยะยาว เพราะชีวิตไม่ใช่การแข่งขันระยะสั้น ที่จะมาวัดกันแค่ 2- 3 ปี แต่อย่างที่บอกล่ะครับ สุดท้ายแล้ว ชัยชนะที่สำคัญ คือการชนะตัวเอง ชนะเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ เป็นเป้าหมายที่เหมาะกับตัวเอง ท้าทาย เรียกร้องศักยภาพ แต่ไม่ได้เกินเลยจนไม่มีทางสำเร็จลุล่วง
ระหว่างที่เรากำลังวิ่งอย่างเงียบๆ แต่ถ้าเข้าใกล้เป้าหมาย หัวใจเราย่อมอึกทึกครึกโครมอยู่ภายใน มันเป็นความสุขชนิดนึงที่พวก finisher เท่านั้นที่จะรู้ ไม่แปลกที่เวลาเราวิ่งแซงใคร เขากลับยิ้มให้เรา เพราะเขาเองก็กำลังทำตามเป้าหมายของตัวเองอยู่อย่างเคร่งครัด และเขารู้ว่า ไม่ว่าเราจะแซงไปไกลแค่ไหน ก็ไม่ได้มีผลกับชัยชนะของเขาเลย ถ้าชีวิตจริงเราคิดแบบนี้ได้ ผมว่าเราจะมีความสุขในทุกวันนะครับ
จำไว้นะครับว่า ไม่มีประโยชน์หรอกที่ในวันนี้ใครจะรายได้เยอะกว่าคุณ ประสบความสำเร็จมากกว่าคุณ มีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่เหนือกว่าคุณ เพราะถ้าคุณยังคงไม่หยุดวิ่ง ยังคงรักษาความเร็วของคุณเอาไว้ ไม่ว่าจะอย่างไร คุณจะเป็นคนพิชิตเส้นชัยแห่งชีวิตนี้ได้อย่างแน่นอน
ไปครับ หยิบรองเท้าไปลุยกันได้แล้ว