ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะปล่อยให้เขาเฉิดฉาย ในสนามแห่งนั้น
ถ้าใครเคยอ่านหนังสือของผมมาบ้าง ก็อาจจะพอทราบว่า สิ่งเดียวที่ผมหลงใหลในวัยเด็ก ก็คือฟุตบอลครับ ผมเริ่มเตะฟุตบอลตั้งแต่ประถมและก็เล่นต่อเนื่องมาตลอด ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของผมก็คือช่วงวัยมัธยมปลาย โดยเฉพาะช่วง ม.4 และ ม.5 ที่ยังไม่ต้องกังวลเรื่องอนาคตในการเรียนต่อมหาวิทยาลัยมากนัก บางวันผมไปโรงเรียนแต่เช้า เตะฟุตบอลก่อนเข้าเรียน จากนั้นในช่วงพักกลางวัน พอกินข้าวเสร็จ ผมก็เตะฟุตบอลกันก่อนที่จะขึ้นเรียน และแน่นอน ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ช่วงเวลานั้นล่ะครับที่ผมบอกว่ามันคือช่วงเวลาแห่งความสุข นอกจากนั้น ในวันเสาร์ อาทิตย์ ถ้าไม่ได้มีธุระอะไร หรือต้องไปไหน ในช่วง 4 -5 โมงเย็น ผมก็ไปเตะฟุตบอลครับ ซึ่งสถานที่ก็จะเป็นโรงเรียนประถมแถวใกล้บ้าน มันจะมีทั้งสนามหญ้า สนามปูนเล็กและใหญ่ เล่นแบบรวมๆกันครับ คือใครมาก็มาจัดทีมเล่นร่วมกัน เล่นจนคุ้นหน้าคุ้นตากัน ผมเองไม่ได้ไปคนเดียว บางทีก็ชวนเพื่อนและน้องๆแถวบ้านไปด้วย เราเล่นด้วยกันมาบ่อย ก็เลยเข้าขากันดี เวลาเล่นก็มักจะจัดเป็นทีมของเราเอง และก็แข่งกับคนอื่นที่เขามาเล่นด้วย ทุกอย่างปกติมาตลอด จนกระทั่งมีอยู่วันนึง วันที่ผมจำได้ดี
จริงๆผมไม่เคยคิดถึงมันมานานมากแล้วล่ะครับ เพราะมันผ่านมา
น่าจะประมาณ 20 ปีแล้ว แต่อยู่ดีๆผมก็นึกถึงมันขึ้นมา เมื่ออาทิตย์ก่อน เหตุการณ์มันประจวบเหมาะพอดี ภาพวันนั้นมันเลยฉายชัดขึ้นมา
วันนึงในอาทิตย์ก่อน ผมทำงานเสร็จช้า ประกอบกับช่วงฤดูหนาวแบบนี้ พระอาทิตย์จะตกค่อนข้างเร็ว ความมืดคืบคลานมาเยือนเราเร็วกว่าปกติในทุกวัน ระหว่างที่ผมกำลังลงลิฟต์มาเพื่อจะไปเอารถกลับบ้านนั้น เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นล่าง ผมเห็นผู้คนมากมายกำลังแยกย้ายกันเดินออกจากลิฟต์เพื่อหาทางกลับตามที่ตัวเองสะดวก และน่าแปลกที่ผมสังเกตเห็นว่า
หลายคนเป็นผู้ชายวัยสี่สิบปีขึ้นไป
ช่วงหลังผมพบเจอคนวัยนี้บ่อยขึ้น ช่วงวัยระหว่าง 45 – 50 ปี อาจจะเป็นเพราะผมเองก็อายุประมาณนึงแล้ว ก็เลยคอยสังเกตคนกลุ่มนี้ก็เป็นได้ ผมอยากรู้เหมือนกันว่า วันนึงที่ผมอายุเท่านั้น ผมจะเป็นอย่างไร จะรู้สึกอย่างไร จะใช้ชีวิตแบบไหน
ตัดย้อนกลับไปที่คนกลุ่มนั้น หลายคนผมเคยรู้จักเขาในวัยที่หนุ่มกว่านั้น พวกเขาเต็มไปด้วยพลังแห่งวัยหนุ่ม ความรู้ ความคิด พลังสมองเพียบพร้อม แถมร่างกายก็ยังกำยำ แข็งแรง ทุกอย่างมาพร้อมกันหมด หลายคนดูมีอนาคตในหน้าที่การงาน อีกหลายคนก็ดูน่าจะพัฒนาไปได้อีกไกล แต่ในวันนึงเมื่อมาถึงวัยเกิน 45 ปี คุณจะค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า คุณจะเติบโตไปได้หรือไม่ คุณจะยังมีอนาคตอันยาวไกลในหน้าที่การงานหรือไม่
เพราะในวัยนี้ หากคุณยังไม่พบเจอช่องทางแห่งความสำเร็จหรือบันไดแห่งความก้าวหน้าเฉพาะตัวของคุณ บางครั้งมันก็อาจจะยากแล้วที่จะก้าวต่อไปได้ และสิ่งที่ผมเห็นก็คือ สำหรับคนที่อาจจะพอรู้ตัวแล้วว่า คงไม่ได้ก้าวหน้าอะไรมากมาย แต่ ณ จุดที่อยู่ รายได้ รวมไปถึงชีวิตที่ใช้อยู่ มันก็ไม่ได้เลวร้าย เพราะฉะนั้น สิ่งที่จำเป็นต้องทำก็คือหล่อเลี้ยงจิตใจของตัวเองให้มีความสุขในจุดที่เป็นอยู่ หรือทุ่มเทให้กับบทบาทอื่น เช่นการเป็นพ่อของลูกเสียมากกว่า
แล้วในวันนั้น ด้วยความมืดที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว มันทำให้สภาพจิตใจผมแปลกไป ด้วยความเคารพ ผมถามตัวเองเสมอ ในบรรยากาศแบบนี้ของทุกปี ว่า ณ จุดที่ผมอยู่ มันยัง “ใช่” อยู่ไหม ผมยังมีความสุขอยู่หรือเปล่า เมื่อแก่ตัวไป ผมจะเสียใจไหมที่เลือกเส้นทางในปัจจุบันนี้ มีอะไรที่ผมยังไม่ได้ทำ อะไรที่จะรู้สึกเสียใจที่พลาดไม่ได้ลงมือในวัยหนุ่ม ผมย้ำคำถามนั้นกับตัวเองเสมอ เพื่อทำให้แน่ใจในเส้นทางที่เดิน แต่บอกตามตรงผมไม่รู้เลยว่า ในวัยเดียวกัน พี่ๆหลายท่านที่ผมเห็น เขาทันได้ถามตัวเองหรือเปล่า เขามาอยู่ที่นี่ในวัยนี้เพราะความตั้งใจ หรือจริงๆแล้วมันคือความบังเอิญ
ชีวิตในวัยนี้มันไม่ง่าย และเหตุการณ์ในวันนั้น ในสมัยที่ผมยังอยู่มัธยมปลาย มันเกิดขึ้นกับคุณอาคนนึง ที่เขาน่าจะอยู่ในวัยประมาณ 45 นี่ล่ะครับ
อาคนนี้มาเล่นกับเราบ่อยในช่วงหลัง เขามาเวลาเดียวกันแทบทุกเสาร์ อาทิตย์ ดูจากการแต่งตัวมาเตะฟุตบอลของเขา ผมว่าเขามีหน้าที่การงานที่ดี รองเท้าผ้าใบของเขาไม่เหมือนพวกเรา เสื้อผ้าของเขาเข้าชุดกันเสมอ หน้าตาและผิวพรรณของเขาเหมือนไม่ค่อยได้โดนแดด และถ้าผมจำไม่ผิด เขาขับรถยนต์มาเพื่อเตะฟุตบอลกับเรา
สมัยนั้นผมยังไม่รู้ว่าในโลกของเรานั้นมีงานแบบไหนบ้าง และผู้ใหญ่นี่มันมีสถานะทางสังคมอย่างไรบ้าง เนื่องจากพ่อแม่ผมรับราชการ ผมก็จะเห็นคนส่วนใหญ่รอบตัวเป็นข้าราชการ แต่ตอนนี้ ถ้าให้ผมย้อนกลับไปมอง ผมว่าอาเขาน่าจะเป็น “ชนชั้นกลาง” ที่มีเงินเดือนหลักหลายหมื่น หรืออาจจะไปถึงแสนนึงก็เป็นได้ เป็นมนุษย์เงินเดือน ที่อาจจะเป็นระดับผู้จัดการก็เป็นได้
แต่ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยชอบเขาเท่าไร
ในวัยนั้นผมเตะฟุตบอลกับผู้ใหญ่เป็นประจำอยู่แล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกเกรงอะไร เวลาที่ต้องเล่นกับผู้ใหญ่ ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง สิ่งที่ผมคิดตอนนั้นคือ ผมเก่งกว่าเขา และน้องๆที่ผมพาไปเล่นด้วย ถึงจะไม่ได้เก่งกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นรองเขามากมาย แต่โดยปกติ เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปอวดเก่งอะไรกันอยู่แล้ว เพราะเรามาเล่นกันเพื่อออกกำลังกาย เล่นเพื่อความสนุก
แต่สำหรับผม คุณอาคนนี้ไม่ได้คิดแบบนั้น
เขามักจะเลี้ยงบอลหลอกล่อ ในเชิงล้อเลียน คือถึงจะเลี้ยงผ่านใครไปได้แล้ว แต่เขาก็จะยังไม่ไป จะไม่ส่งบอลให้คนอื่น ไม่ไปยิงประตู แต่จะเลี้ยงวนรอ เพื่อหลอกคนนั้นอีกครั้ง รอบแล้วรอบเล่า เขาทำแบบนั้นเสมอในทุกครั้งที่เราได้เล่นด้วยกัน ซึ่งทำให้เราทุกคนต้องยืนดูเขาแล้วภาวนาว่า เมื่อไรการแสดงโชว์ของเขาจะจบลงเสียที และทุกครั้งที่เขาทำ เขาทำพร้อมเสียงหัวเราะราวกับว่าเขาคือเทพเจ้าของฟุตบอล ที่ไม่มีใครแย่งบอลไปจากเท้าเขาได้ สิ่งเดียวที่เราพลาดไป คือเราอาจจะไม่ได้แสดงให้เขาเห็นชัดเจนว่า ด้วยทักษะเท่าที่เขามี ทีมเราจะแย่งบอลเขาเมื่อไรก็ได้ แต่เราไม่ได้พยายามทำแบบนั้น เพราะเราอยากให้เขายังคงสนุกกับเกมไปด้วยกัน
แต่พอบ่อยครั้งเข้า ไม่รู้สิ ผมในวัยนั้นรู้สึกอย่างไร มันอาจจะเรียกว่าความรำคาญก็คงได้ อธิบายให้เห็นภาพสักนิด ผู้ชายวัยกลางคนคนนี้เขาถนัดซ้าย ทุกครั้งที่เขาพยายามจะหลอกเรา ก็จะมีอยู่แค่สองท่า ท่าแรกคือเอาเท้าซ้ายเหยียบบอลไว้และหันหลังพิง เอาตัวบังเด็กๆอย่างเราไม่ให้เข้าไปแย่งบอลได้ ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ไม่เคยไปเบียดกระแทกเขาแรงๆ หรือว่ารุมแย่งบอลแบบเอาเป็นเอาตาย เราก็แค่ยืนเพื่อรอให้เขาส่งบอลออกไปให้คนอื่น แต่หลายครั้งสิ่งที่เขาทำก็คือการเหยียบบอลไว้แบบนั้น
แล้วหัวเราะที่ไม่มีใครแย่งบอลเขาได้
อีกท่าหนึ่งที่เขาใช้คือการใช้เท้าซ้ายพาบอลไปทางขวาของตัวเองช้าๆ แล้วก็ขยับเท้าซ้ายหลอก ว่าจะกระชากบอลไปทางซ้ายของเขา ขยับหลอกอยู่แบบนั้นตลอดเวลา และถ้าเขากระชากไปจริงๆ แต่เรายังคงตามไปได้ เขาก็จะเหยียบบอลเพื่อหยุด จากนั้นก็เริ่มขยับหลอกแบบนั้นอีกครั้ง ซึ่งแน่นอน เขาทำไปหัวเราะไป
ผมไม่รู้ ไม่รู้จริงๆว่าในชีวิตของเขาในวัยนั้น เขาต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่เราพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ที่จะทำให้เขามีความสุขในการเล่นฟุตบอล เพียงแต่ในวัยนั้นผมไม่ได้ตระหนัก ว่าบางที นั่นอาจจะเป็นที่เดียวก็ได้ ที่เขามีตัวตน
ผมกระซิบให้กับน้องที่มาด้วยเพื่อบอกว่า เขาจะเลี้ยงบอลไปทางซ้ายของเขาทางเดียว ไม่ว่าจะหลอกยังไง เขาก็ไปทางนั้น อยู่ที่ว่าจะไปเมื่อไรเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ยืนรอได้เลย และเช่นกันเมื่อเขาเหยียบบอล หันหลังบังเรา ลูกฟุตบอลไม่เคยขยับเขยื้อน ซึ่งถ้าเราอีกคนไปแย่งบอลจากด้านหน้า เขาจะไม่ทันระวัง ไม่กี่จังหวะต่อจากนั้น เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขาค่อยๆหายไป
เขาเลี้ยงไม่ผ่านทีมเราคนไหนได้อีกแล้ว เพราะเราทุกคนรู้ทางเขามานานแล้ว แค่ไม่เคยแสดงให้เขารู้ แต่วันนี้เราจะไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว เราแย่งฟุตบอลจากเท้าของเขาได้ทุกครั้ง ในทันทีที่เขาแตะบอล เราไม่รอให้เขาหลอก หรือเมื่อเริ่มจะหลอก เราก็แย่งเขาทันที รุมบ้าง คนเดียวบ้าง แย่งเสร็จแล้วหลอกเขาคืนบ้าง บางครั้งเราไม่ลงไปช่วย แล้วปล่อยให้น้องคนเดียวของทีมเราซึ่งเฝ้าโกล์เล็กๆที่เราเล่นกันอยู่ เผชิญหน้ากับเขาตัวต่อตัว และไม่ทันที่เขาจะยิ้มหรือส่งเสียงหัวเราะ น้องก็แย่งบอลจากเท้าเขามาได้เรียบร้อยแล้ว หลายต่อหลายครั้งในเกมเดียว เขาไม่ได้โง่ เขาเริ่มรู้แล้วว่า อะไรบางอย่างมันเปลี่ยนแปลงไป จากที่เขาเคยสนุกสนานในการหลอกเรามาตลอดหลายสัปดาห์ วันนี้วันเดียว เขาเสียบอลไม่รู้กี่ครั้ง และหลอกใครไม่ได้เลย
เรากำลังสนุก ที่บดขยี้เขาลงอย่างง่ายดาย เราทำให้ฟุตบอลไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับเขาอีกต่อไป แล้วในจังหวะหนึ่ง ผมก็ทำผิดพลาดด้วยความคะนอง เขากำลังเผชิญหน้ากับน้องในทีมเราคนนึง และผมเผลอตะโกนออกไป ตะโกนไปปนกับเสียงหัวเราะ แล้วมันทำให้ความลับทุกอย่างพังครืนลงมา “ออกซ้ายอย่างเดียวเหมือนเดิม รอเลยๆ” นั่นคือประโยคที่ผมตะโกน และทันทีที่น้องตัดบอลได้แล้วส่งขึ้นหน้ามาให้ผม ผมเลี้ยงบอลเข้าไปเพื่อจะทำประตู ทันใดนั้น ผมได้ยินเสียงใครคนนึงวิ่งอย่างบ้าคลั่งมาข้างหลังผม เสียงฝีเท้าของเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และผมรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ ใครหลายคนตะโกนเตือนผม “ระวัง !!!”
ผมหันกลับไปไม่ทัน อาคนนั้น เขาเอาตัวกระแทกผมมาด้านหลังแล้ว ผมรู้สึกว่ามันยังไม่ได้แรงเกินปกติ ผมจึงยังเลี้ยงต่อไป ทันใดนั้น เขาวิ่งตามมาและเตะขาผม เตะโดยไม่มีบอล ผมรู้แล้วว่ามันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ผมจึงหันไปเผชิญหน้ากับเขา ทุกคนในสนามหยุดลง และภาพที่ผมหันไปเห็น ด้วยความขาวของผิวหน้าเขา ทำให้ตอนนี้ หน้าของเขาแดงกร่ำอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขาเคียดแค้น มือสองข้างของเขากำแน่น เสียงกัดฟันของเขาดังออกมาให้ผมได้ยินอย่างชัดเจน ผมยืนนิ่งๆ แต่ก็ระวังตัวเต็มที่ ไม่กี่วินาที ผู้ใหญ่คนอื่นๆแถวนั้นก็มาแยกเราออกจากกัน
“ทีหลัง เล่นอะไรก็ระวังๆหน่อย” หลังจากอารมณ์เย็นลง หลังจากหัวที่ร้อนนั้นเริ่มเย็น เขาตะโกนเตือนผมแบบนั้น ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่ เพราะผม รวมถึงทีมก็ไม่ได้เล่นหนักอะไรใส่เขาเลย แต่ผมก็แค่พยักหน้าไป ไม่ได้ตอบอะไรกลับ สิ่งที่แย่คือวันนั้น ผมไม่ได้เสียใจอะไรเลย กลับรู้สึกตลกและสะใจ ที่เห็นเขาหัวเสียขนาดนั้น ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทำไมเขาต้องหัวเสียขนาดนั้น
แต่วันนี้ผมว่า ผมรู้แล้ว
โลกของผู้ชายวันเขาไม่เคยง่าย เราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาต้องเจอกับอะไรบ้างในแต่ละวัน เขาอาจจะเป็นผู้ชายที่ภรรยาไม่ให้ความเคารพ ไม่มอบความเป็นผู้นำให้เขาก็ได้ ลูกของเขาอาจจะดื้อ อาจจะเถียงเขา หรือมีผลการเรียนที่ทำให้เขาเครียดอยู่เสมอก็ได้ แล้วค่าเทอมของลูกล่ะ เขามีหรือเปล่า เงินซื้อกระเป๋าให้ภรรยา หรือพาครอบครัวเที่ยว เขามีพอไหม และรถที่ขับมาเตะบอล เขาผ่อนหมดหรือยัง
ไหนจะเรื่องงานอีก เพื่อนของเขาเงินเดือนเยอะกว่าเขาหรือเปล่า เขากล้าไปงานเลี้ยงรุ่นหรือเปล่า ไปแล้วมีความสุขไหม เขามีลูกน้องแบบคนอื่นบ้างไหม ได้เป็นหัวหน้าคนหรือยัง แล้วหัวหน้าของเขาล่ะ พอใจฝีมือการทำงานของเขาไหม
หรือว่าเขาทำธุรกิจ ธุรกิจของเขาไปได้ดีหรือเปล่า เขาขาดทุนไหม เขากู้เงินมาลงทุนหรือเปล่า
และที่สำคัญที่สุดคือตอนที่เขายังหนุ่มกว่านี้ เขาเคยถามตัวเองหรือเปล่า ว่า ณ จุดนี้ที่เขายืนอยู่ เขารู้สึกดีกับมันหรือเปล่า ใช่แล้ว ผมกำลังจะบอกว่า บางที บางทีนะ สนามฟุตบอลของเรา อาจจะเป็นที่เดียวที่ทำให้เขามีความสุขก็ได้ อาจจะเป็นที่เดียวที่ทำให้เขาเหนือกว่าคนอื่น ที่เดียวที่เขามีตัวตนขึ้นมาบ้าง แม้มันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นในสายตาคนอื่นก็ตาม
ในวันนี้ผมเสียใจนะ ถ้าจะพูดไป ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมทำลายอะไรของเขาลงไปบ้าง บางทีมันอาจจะเป็นความมั่นใจสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่ก็เป็นได้ ถ้ากลับไปแก้ไขได้ ผมจะปล่อยให้เขาหลอกพวกเราและหัวเราะอยู่แบบนั้น เพราะผมรู้แล้วว่า มันอาจจะเป็นเสียงหัวเราะเดียวที่เขามีในชีวิตก็เป็นได้
มันไม่ใช่แค่อาคนนี้ ไม่ใช่แค่ฟุตบอล แต่ผมอยากจะบอกว่า คุณลองคิดดูดีๆ ถ้าเกิดใครในชีวิตคุณกำลังโอ้อวด กำลังข่ม กำลังทำให้คุณรู้สึกแบบที่ผมเคยรู้สึกในสนามฟุตบอลแห่งนั้น ชั่งน้ำหนักดูให้ดี ก่อนที่คุณจะพูดหรือทำอะไรลงไป เพราะบางที การปล่อยให้เขาได้เฉิดฉายในตรงนี้ มันอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวในชีวิต ที่เขากำลังยึดเหนี่ยวเอาไว้อย่างสุดแรงเพียงเพื่อให้มั่นใจว่า ชีวิตของเขายังคงมีค่าอยู่บ้าง
ใช่ แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นด้วยกับเขาก็ตาม แต่เชื่อผมเถอะ คิดให้ดี เพราะการตัดเชือกเส้นสุดท้ายที่ใครบางคนกำลังยึดเหนี่ยว ไม่ใช่เรื่องดีเลย
จริงๆผมไม่เคยคิดถึงมันมานานมากแล้วล่ะครับ เพราะมันผ่านมา
น่าจะประมาณ 20 ปีแล้ว แต่อยู่ดีๆผมก็นึกถึงมันขึ้นมา เมื่ออาทิตย์ก่อน เหตุการณ์มันประจวบเหมาะพอดี ภาพวันนั้นมันเลยฉายชัดขึ้นมา
วันนึงในอาทิตย์ก่อน ผมทำงานเสร็จช้า ประกอบกับช่วงฤดูหนาวแบบนี้ พระอาทิตย์จะตกค่อนข้างเร็ว ความมืดคืบคลานมาเยือนเราเร็วกว่าปกติในทุกวัน ระหว่างที่ผมกำลังลงลิฟต์มาเพื่อจะไปเอารถกลับบ้านนั้น เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นล่าง ผมเห็นผู้คนมากมายกำลังแยกย้ายกันเดินออกจากลิฟต์เพื่อหาทางกลับตามที่ตัวเองสะดวก และน่าแปลกที่ผมสังเกตเห็นว่า
หลายคนเป็นผู้ชายวัยสี่สิบปีขึ้นไป
ช่วงหลังผมพบเจอคนวัยนี้บ่อยขึ้น ช่วงวัยระหว่าง 45 – 50 ปี อาจจะเป็นเพราะผมเองก็อายุประมาณนึงแล้ว ก็เลยคอยสังเกตคนกลุ่มนี้ก็เป็นได้ ผมอยากรู้เหมือนกันว่า วันนึงที่ผมอายุเท่านั้น ผมจะเป็นอย่างไร จะรู้สึกอย่างไร จะใช้ชีวิตแบบไหน
ตัดย้อนกลับไปที่คนกลุ่มนั้น หลายคนผมเคยรู้จักเขาในวัยที่หนุ่มกว่านั้น พวกเขาเต็มไปด้วยพลังแห่งวัยหนุ่ม ความรู้ ความคิด พลังสมองเพียบพร้อม แถมร่างกายก็ยังกำยำ แข็งแรง ทุกอย่างมาพร้อมกันหมด หลายคนดูมีอนาคตในหน้าที่การงาน อีกหลายคนก็ดูน่าจะพัฒนาไปได้อีกไกล แต่ในวันนึงเมื่อมาถึงวัยเกิน 45 ปี คุณจะค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า คุณจะเติบโตไปได้หรือไม่ คุณจะยังมีอนาคตอันยาวไกลในหน้าที่การงานหรือไม่
เพราะในวัยนี้ หากคุณยังไม่พบเจอช่องทางแห่งความสำเร็จหรือบันไดแห่งความก้าวหน้าเฉพาะตัวของคุณ บางครั้งมันก็อาจจะยากแล้วที่จะก้าวต่อไปได้ และสิ่งที่ผมเห็นก็คือ สำหรับคนที่อาจจะพอรู้ตัวแล้วว่า คงไม่ได้ก้าวหน้าอะไรมากมาย แต่ ณ จุดที่อยู่ รายได้ รวมไปถึงชีวิตที่ใช้อยู่ มันก็ไม่ได้เลวร้าย เพราะฉะนั้น สิ่งที่จำเป็นต้องทำก็คือหล่อเลี้ยงจิตใจของตัวเองให้มีความสุขในจุดที่เป็นอยู่ หรือทุ่มเทให้กับบทบาทอื่น เช่นการเป็นพ่อของลูกเสียมากกว่า
แล้วในวันนั้น ด้วยความมืดที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว มันทำให้สภาพจิตใจผมแปลกไป ด้วยความเคารพ ผมถามตัวเองเสมอ ในบรรยากาศแบบนี้ของทุกปี ว่า ณ จุดที่ผมอยู่ มันยัง “ใช่” อยู่ไหม ผมยังมีความสุขอยู่หรือเปล่า เมื่อแก่ตัวไป ผมจะเสียใจไหมที่เลือกเส้นทางในปัจจุบันนี้ มีอะไรที่ผมยังไม่ได้ทำ อะไรที่จะรู้สึกเสียใจที่พลาดไม่ได้ลงมือในวัยหนุ่ม ผมย้ำคำถามนั้นกับตัวเองเสมอ เพื่อทำให้แน่ใจในเส้นทางที่เดิน แต่บอกตามตรงผมไม่รู้เลยว่า ในวัยเดียวกัน พี่ๆหลายท่านที่ผมเห็น เขาทันได้ถามตัวเองหรือเปล่า เขามาอยู่ที่นี่ในวัยนี้เพราะความตั้งใจ หรือจริงๆแล้วมันคือความบังเอิญ
ชีวิตในวัยนี้มันไม่ง่าย และเหตุการณ์ในวันนั้น ในสมัยที่ผมยังอยู่มัธยมปลาย มันเกิดขึ้นกับคุณอาคนนึง ที่เขาน่าจะอยู่ในวัยประมาณ 45 นี่ล่ะครับ
อาคนนี้มาเล่นกับเราบ่อยในช่วงหลัง เขามาเวลาเดียวกันแทบทุกเสาร์ อาทิตย์ ดูจากการแต่งตัวมาเตะฟุตบอลของเขา ผมว่าเขามีหน้าที่การงานที่ดี รองเท้าผ้าใบของเขาไม่เหมือนพวกเรา เสื้อผ้าของเขาเข้าชุดกันเสมอ หน้าตาและผิวพรรณของเขาเหมือนไม่ค่อยได้โดนแดด และถ้าผมจำไม่ผิด เขาขับรถยนต์มาเพื่อเตะฟุตบอลกับเรา
สมัยนั้นผมยังไม่รู้ว่าในโลกของเรานั้นมีงานแบบไหนบ้าง และผู้ใหญ่นี่มันมีสถานะทางสังคมอย่างไรบ้าง เนื่องจากพ่อแม่ผมรับราชการ ผมก็จะเห็นคนส่วนใหญ่รอบตัวเป็นข้าราชการ แต่ตอนนี้ ถ้าให้ผมย้อนกลับไปมอง ผมว่าอาเขาน่าจะเป็น “ชนชั้นกลาง” ที่มีเงินเดือนหลักหลายหมื่น หรืออาจจะไปถึงแสนนึงก็เป็นได้ เป็นมนุษย์เงินเดือน ที่อาจจะเป็นระดับผู้จัดการก็เป็นได้
แต่ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยชอบเขาเท่าไร
ในวัยนั้นผมเตะฟุตบอลกับผู้ใหญ่เป็นประจำอยู่แล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกเกรงอะไร เวลาที่ต้องเล่นกับผู้ใหญ่ ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง สิ่งที่ผมคิดตอนนั้นคือ ผมเก่งกว่าเขา และน้องๆที่ผมพาไปเล่นด้วย ถึงจะไม่ได้เก่งกว่า แต่ก็ไม่ได้เป็นรองเขามากมาย แต่โดยปกติ เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปอวดเก่งอะไรกันอยู่แล้ว เพราะเรามาเล่นกันเพื่อออกกำลังกาย เล่นเพื่อความสนุก
แต่สำหรับผม คุณอาคนนี้ไม่ได้คิดแบบนั้น
เขามักจะเลี้ยงบอลหลอกล่อ ในเชิงล้อเลียน คือถึงจะเลี้ยงผ่านใครไปได้แล้ว แต่เขาก็จะยังไม่ไป จะไม่ส่งบอลให้คนอื่น ไม่ไปยิงประตู แต่จะเลี้ยงวนรอ เพื่อหลอกคนนั้นอีกครั้ง รอบแล้วรอบเล่า เขาทำแบบนั้นเสมอในทุกครั้งที่เราได้เล่นด้วยกัน ซึ่งทำให้เราทุกคนต้องยืนดูเขาแล้วภาวนาว่า เมื่อไรการแสดงโชว์ของเขาจะจบลงเสียที และทุกครั้งที่เขาทำ เขาทำพร้อมเสียงหัวเราะราวกับว่าเขาคือเทพเจ้าของฟุตบอล ที่ไม่มีใครแย่งบอลไปจากเท้าเขาได้ สิ่งเดียวที่เราพลาดไป คือเราอาจจะไม่ได้แสดงให้เขาเห็นชัดเจนว่า ด้วยทักษะเท่าที่เขามี ทีมเราจะแย่งบอลเขาเมื่อไรก็ได้ แต่เราไม่ได้พยายามทำแบบนั้น เพราะเราอยากให้เขายังคงสนุกกับเกมไปด้วยกัน
แต่พอบ่อยครั้งเข้า ไม่รู้สิ ผมในวัยนั้นรู้สึกอย่างไร มันอาจจะเรียกว่าความรำคาญก็คงได้ อธิบายให้เห็นภาพสักนิด ผู้ชายวัยกลางคนคนนี้เขาถนัดซ้าย ทุกครั้งที่เขาพยายามจะหลอกเรา ก็จะมีอยู่แค่สองท่า ท่าแรกคือเอาเท้าซ้ายเหยียบบอลไว้และหันหลังพิง เอาตัวบังเด็กๆอย่างเราไม่ให้เข้าไปแย่งบอลได้ ซึ่งแน่นอนว่าเราก็ไม่เคยไปเบียดกระแทกเขาแรงๆ หรือว่ารุมแย่งบอลแบบเอาเป็นเอาตาย เราก็แค่ยืนเพื่อรอให้เขาส่งบอลออกไปให้คนอื่น แต่หลายครั้งสิ่งที่เขาทำก็คือการเหยียบบอลไว้แบบนั้น
แล้วหัวเราะที่ไม่มีใครแย่งบอลเขาได้
อีกท่าหนึ่งที่เขาใช้คือการใช้เท้าซ้ายพาบอลไปทางขวาของตัวเองช้าๆ แล้วก็ขยับเท้าซ้ายหลอก ว่าจะกระชากบอลไปทางซ้ายของเขา ขยับหลอกอยู่แบบนั้นตลอดเวลา และถ้าเขากระชากไปจริงๆ แต่เรายังคงตามไปได้ เขาก็จะเหยียบบอลเพื่อหยุด จากนั้นก็เริ่มขยับหลอกแบบนั้นอีกครั้ง ซึ่งแน่นอน เขาทำไปหัวเราะไป
ผมไม่รู้ ไม่รู้จริงๆว่าในชีวิตของเขาในวัยนั้น เขาต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่เราพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ที่จะทำให้เขามีความสุขในการเล่นฟุตบอล เพียงแต่ในวัยนั้นผมไม่ได้ตระหนัก ว่าบางที นั่นอาจจะเป็นที่เดียวก็ได้ ที่เขามีตัวตน
ผมกระซิบให้กับน้องที่มาด้วยเพื่อบอกว่า เขาจะเลี้ยงบอลไปทางซ้ายของเขาทางเดียว ไม่ว่าจะหลอกยังไง เขาก็ไปทางนั้น อยู่ที่ว่าจะไปเมื่อไรเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ยืนรอได้เลย และเช่นกันเมื่อเขาเหยียบบอล หันหลังบังเรา ลูกฟุตบอลไม่เคยขยับเขยื้อน ซึ่งถ้าเราอีกคนไปแย่งบอลจากด้านหน้า เขาจะไม่ทันระวัง ไม่กี่จังหวะต่อจากนั้น เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเขาค่อยๆหายไป
เขาเลี้ยงไม่ผ่านทีมเราคนไหนได้อีกแล้ว เพราะเราทุกคนรู้ทางเขามานานแล้ว แค่ไม่เคยแสดงให้เขารู้ แต่วันนี้เราจะไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว เราแย่งฟุตบอลจากเท้าของเขาได้ทุกครั้ง ในทันทีที่เขาแตะบอล เราไม่รอให้เขาหลอก หรือเมื่อเริ่มจะหลอก เราก็แย่งเขาทันที รุมบ้าง คนเดียวบ้าง แย่งเสร็จแล้วหลอกเขาคืนบ้าง บางครั้งเราไม่ลงไปช่วย แล้วปล่อยให้น้องคนเดียวของทีมเราซึ่งเฝ้าโกล์เล็กๆที่เราเล่นกันอยู่ เผชิญหน้ากับเขาตัวต่อตัว และไม่ทันที่เขาจะยิ้มหรือส่งเสียงหัวเราะ น้องก็แย่งบอลจากเท้าเขามาได้เรียบร้อยแล้ว หลายต่อหลายครั้งในเกมเดียว เขาไม่ได้โง่ เขาเริ่มรู้แล้วว่า อะไรบางอย่างมันเปลี่ยนแปลงไป จากที่เขาเคยสนุกสนานในการหลอกเรามาตลอดหลายสัปดาห์ วันนี้วันเดียว เขาเสียบอลไม่รู้กี่ครั้ง และหลอกใครไม่ได้เลย
เรากำลังสนุก ที่บดขยี้เขาลงอย่างง่ายดาย เราทำให้ฟุตบอลไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับเขาอีกต่อไป แล้วในจังหวะหนึ่ง ผมก็ทำผิดพลาดด้วยความคะนอง เขากำลังเผชิญหน้ากับน้องในทีมเราคนนึง และผมเผลอตะโกนออกไป ตะโกนไปปนกับเสียงหัวเราะ แล้วมันทำให้ความลับทุกอย่างพังครืนลงมา “ออกซ้ายอย่างเดียวเหมือนเดิม รอเลยๆ” นั่นคือประโยคที่ผมตะโกน และทันทีที่น้องตัดบอลได้แล้วส่งขึ้นหน้ามาให้ผม ผมเลี้ยงบอลเข้าไปเพื่อจะทำประตู ทันใดนั้น ผมได้ยินเสียงใครคนนึงวิ่งอย่างบ้าคลั่งมาข้างหลังผม เสียงฝีเท้าของเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และผมรู้สึกได้ถึงความไม่ปกติ ใครหลายคนตะโกนเตือนผม “ระวัง !!!”
ผมหันกลับไปไม่ทัน อาคนนั้น เขาเอาตัวกระแทกผมมาด้านหลังแล้ว ผมรู้สึกว่ามันยังไม่ได้แรงเกินปกติ ผมจึงยังเลี้ยงต่อไป ทันใดนั้น เขาวิ่งตามมาและเตะขาผม เตะโดยไม่มีบอล ผมรู้แล้วว่ามันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ผมจึงหันไปเผชิญหน้ากับเขา ทุกคนในสนามหยุดลง และภาพที่ผมหันไปเห็น ด้วยความขาวของผิวหน้าเขา ทำให้ตอนนี้ หน้าของเขาแดงกร่ำอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขาเคียดแค้น มือสองข้างของเขากำแน่น เสียงกัดฟันของเขาดังออกมาให้ผมได้ยินอย่างชัดเจน ผมยืนนิ่งๆ แต่ก็ระวังตัวเต็มที่ ไม่กี่วินาที ผู้ใหญ่คนอื่นๆแถวนั้นก็มาแยกเราออกจากกัน
“ทีหลัง เล่นอะไรก็ระวังๆหน่อย” หลังจากอารมณ์เย็นลง หลังจากหัวที่ร้อนนั้นเริ่มเย็น เขาตะโกนเตือนผมแบบนั้น ผมไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่ เพราะผม รวมถึงทีมก็ไม่ได้เล่นหนักอะไรใส่เขาเลย แต่ผมก็แค่พยักหน้าไป ไม่ได้ตอบอะไรกลับ สิ่งที่แย่คือวันนั้น ผมไม่ได้เสียใจอะไรเลย กลับรู้สึกตลกและสะใจ ที่เห็นเขาหัวเสียขนาดนั้น ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทำไมเขาต้องหัวเสียขนาดนั้น
แต่วันนี้ผมว่า ผมรู้แล้ว
โลกของผู้ชายวันเขาไม่เคยง่าย เราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาต้องเจอกับอะไรบ้างในแต่ละวัน เขาอาจจะเป็นผู้ชายที่ภรรยาไม่ให้ความเคารพ ไม่มอบความเป็นผู้นำให้เขาก็ได้ ลูกของเขาอาจจะดื้อ อาจจะเถียงเขา หรือมีผลการเรียนที่ทำให้เขาเครียดอยู่เสมอก็ได้ แล้วค่าเทอมของลูกล่ะ เขามีหรือเปล่า เงินซื้อกระเป๋าให้ภรรยา หรือพาครอบครัวเที่ยว เขามีพอไหม และรถที่ขับมาเตะบอล เขาผ่อนหมดหรือยัง
ไหนจะเรื่องงานอีก เพื่อนของเขาเงินเดือนเยอะกว่าเขาหรือเปล่า เขากล้าไปงานเลี้ยงรุ่นหรือเปล่า ไปแล้วมีความสุขไหม เขามีลูกน้องแบบคนอื่นบ้างไหม ได้เป็นหัวหน้าคนหรือยัง แล้วหัวหน้าของเขาล่ะ พอใจฝีมือการทำงานของเขาไหม
หรือว่าเขาทำธุรกิจ ธุรกิจของเขาไปได้ดีหรือเปล่า เขาขาดทุนไหม เขากู้เงินมาลงทุนหรือเปล่า
และที่สำคัญที่สุดคือตอนที่เขายังหนุ่มกว่านี้ เขาเคยถามตัวเองหรือเปล่า ว่า ณ จุดนี้ที่เขายืนอยู่ เขารู้สึกดีกับมันหรือเปล่า ใช่แล้ว ผมกำลังจะบอกว่า บางที บางทีนะ สนามฟุตบอลของเรา อาจจะเป็นที่เดียวที่ทำให้เขามีความสุขก็ได้ อาจจะเป็นที่เดียวที่ทำให้เขาเหนือกว่าคนอื่น ที่เดียวที่เขามีตัวตนขึ้นมาบ้าง แม้มันจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นในสายตาคนอื่นก็ตาม
ในวันนี้ผมเสียใจนะ ถ้าจะพูดไป ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผมทำลายอะไรของเขาลงไปบ้าง บางทีมันอาจจะเป็นความมั่นใจสุดท้ายที่เขาเหลืออยู่ก็เป็นได้ ถ้ากลับไปแก้ไขได้ ผมจะปล่อยให้เขาหลอกพวกเราและหัวเราะอยู่แบบนั้น เพราะผมรู้แล้วว่า มันอาจจะเป็นเสียงหัวเราะเดียวที่เขามีในชีวิตก็เป็นได้
มันไม่ใช่แค่อาคนนี้ ไม่ใช่แค่ฟุตบอล แต่ผมอยากจะบอกว่า คุณลองคิดดูดีๆ ถ้าเกิดใครในชีวิตคุณกำลังโอ้อวด กำลังข่ม กำลังทำให้คุณรู้สึกแบบที่ผมเคยรู้สึกในสนามฟุตบอลแห่งนั้น ชั่งน้ำหนักดูให้ดี ก่อนที่คุณจะพูดหรือทำอะไรลงไป เพราะบางที การปล่อยให้เขาได้เฉิดฉายในตรงนี้ มันอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวในชีวิต ที่เขากำลังยึดเหนี่ยวเอาไว้อย่างสุดแรงเพียงเพื่อให้มั่นใจว่า ชีวิตของเขายังคงมีค่าอยู่บ้าง
ใช่ แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นด้วยกับเขาก็ตาม แต่เชื่อผมเถอะ คิดให้ดี เพราะการตัดเชือกเส้นสุดท้ายที่ใครบางคนกำลังยึดเหนี่ยว ไม่ใช่เรื่องดีเลย