บางสิ่งบางอย่างไม่ได้พึ่งเกิดขึ้น แต่มันคงอยู่แบบนี้มาโดยตลอด
เท่าที่จำได้ สมัยมัธยมปลาย พอเริ่มถึงเวลาที่จะต้องก่อร่างสร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมาเหมือนกับวัยรุ่นทุกคน ผมก็รู้สึกได้ว่ามันมีอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่ผมหวงแหน หาคำอธิบายไม่ได้ว่าคืออะไร แต่รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่มีโอกาสได้พบ มันมีความสุขไปกับช่วงเวลานั้น ล่องลอยคล้ายกับอยู่บนสรวงสวรรค์ ทั้งที่เนื้อแท้แล้วมันเป็นแค่ช่วงเวลาที่ผมอยู่เฉยๆ หยุดทำอะไรทั้งสิ้นทั้งปวง และทำเพียงแค่ปล่อยให้ความคิดในสมองมันฟุ้งไปเรื่อยๆ
ผมเป็นเด็กที่รู้สึกเหนื่อยเสมอถ้าจะต้องพบเจอกับผู้คนเยอะๆ เต็มที่ถ้าเกินสี่คน ก็จะรู้สึกแล้วว่าต้องใช้พลังมากเป็นพิเศษ และเมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์นั้น ก็จะต้องใช้เวลาหลบมาอยู่คนเดียวอีกวันหรือสองวัน เพื่อทำให้พลังคืนกลับมาดังเดิม แต่หากได้พบเจอเพื่อนแค่ 2- 3 คน มันกลับเป็นช่วงเวลาที่ดีกว่ามากทีเดียว ซึ่งนั่นล่ะครับ ช่วงเวลาที่ผมหยุด และตกผลึกอยู่เงียบๆกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ดี ดียิ่งกว่าช่วงเวลาที่ได้เจอกับเหตุการณ์นั้นจริงๆเสียอีก แต่ในเวลานั้นมันไม่ได้ง่ายแบบที่ผมกำลังบอก เพราะโลกในยุคนั้นเราไม่ได้เข้าใจความแตกต่างระหว่างแต่ละบุคคลมากขนาดนี้ ไม่มีใครเข้าใจคนที่เป็น introvert แม้กระทั่งตัวเราเอง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เหตุใดการพบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตาถึงได้เหนื่อยขนาดนั้น
นอกเหนือจากเรื่องนั้น ผมยังเป็นเด็กที่ชอบนอนดึกและตื่นสายเสมอมา รู้สึกเสมอว่าการถูกบังคับให้ต้องนอนตรงเวลาและตื่นตรงเวลา คือเครื่องมือทำลายอิสรภาพที่รุนแรงที่สุดที่สังคมมอบให้กับผม ผมอาจจะโชคดีกว่าเด็กหลายคนที่ได้เรียนใกล้บ้าน อีกทั้งคุณภาพของโรงเรียนก็ไม่ได้แย่ แต่ถึงกระนั้นผมก็ไปทันเวลาเข้าแถวน้อยครั้งมากๆ โดยมักจะไปถึงที่โรงเรียนในเวลาที่เริ่มเรียนเลย นั่นเพราะผมเสพติดการตื่นสาย และคิดว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความสุขให้ผมเสมอในวัยเด็ก แต่นั่นล่ะครับ มันไม่เคยง่ายเลย เพราะความสุขของเราต้องแลกกับการที่ถูกคนอื่นมองว่าเป็นเด็กที่ไม่มีวินัย เป็นเด็กขี้เกียจ และก็ถูกทุกคนปรามาสว่ามันจะทำให้อนาคตของเราล้มเหลว ไม่ก้าวหน้า ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ เพราะเราถูกเชื่อมาตลอดว่า จะต้องตื่นเช้าเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้
แต่ผมเป็นเด็กที่ส่งงานก่อนเวลาเสมอ ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่จะส่งงานไม่ทันหรือไม่ส่งงาน ถ้านัดเวลากันผมจะเป็นคนที่ไปตรงเวลาเสมอ และผมก็เป็นแบบนั้นมาโดยตลอด หากแต่มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดใครหลายคนได้ ผู้ใหญ่หลายคนตัดสินคุณแค่เวลาที่คุณตื่น แต่นอกเหนือจากนั้น เรื่องอื่นๆ เขาทำเป็นมองไม่เห็นมันเสียแล้ว
ที่แปลกคือถึงแม้จะตื่นสาย ไปสาย แต่ผมไม่เคยรีบ ผมมีความสุขกับการมองบรรยากาศรอบตัว มีความสุขกับมัน ตีความ ถ่ายทอดให้ตัวเองฟัง การนั่งรถเมล์ในตอนเช้าแล้วมองวิวข้างทางโดยไม่ต้องคุยกับใคร ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ดีที่สุดในชีวิตของผมในช่วงนั้น ดูแปลกนะครับ ยิ่งสายก็ยิ่งไม่รีบ ด้วยนิสัยแบบนี้ ในสมัยวัยรุ่น มันช่างดูเป็นเด็กไม่มีอนาคตเอาเสียเลยนะครับ
ผมเล่าเรื่องนี้เพราะเมื่อไม่นานมานี้ อยู่ดีๆผมก็รู้สึกขึ้นมาว่า บางสิ่งบางอย่างผมคิดว่ามันพึ่งจะเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ผมชอบ ผมรู้สึกดีก็เลยทำลงไป แต่พอมาย้อนนึกดูว่าเริ่มต้นทำเมื่อไร กลับกลายเป็นว่ามันไม่ได้พึ่งเกิดขึ้น แต่มันคงอยู่แบบนี้ คงอยู่มาโดยตลอด
ทุกวันนี้ผมยังคงเป็นแบบเดิม เมื่อไรที่ทำงานหนักก็ต้องหาเวลาพักเพื่อตกผลึก หาเวลาหยุดเพื่อให้พลังงานในร่างกายมันสมดุล หากต้องเจอคนเยอะก็จะสูญเสียพลังไปมาก ก็ต้องหาวิธีฟื้นฟู ฟังแล้วคุ้นไหมครับ ใช่แล้ว มันไม่ต่างอะไรเลยกับในวัยเด็ก เพียงแต่ตอนนี้มันง่ายขึ้น เพราะเรารู้จักตัวเองแล้ว เราเข้าใจแล้วว่ามันเป็นแบบนี้เพราะอะไร ที่เราต้องทำแบบนี้เพราะอะไร
ชีวิตผมมันดำเนินไปช้ามากครับ ในวันนึงทำอะไรได้ไม่กี่อย่าง ทำมากไปก็เหนื่อย ก็เลยมักจะทำแต่สิ่งที่มันสำคัญจริงๆ ทำให้แต่ละวันมันได้รับการเติมเต็ม เมื่อต้องไปเจอกับคนอื่น ไปอยู่ร่วมกับคนอื่น บางครั้งเขาใช้ชีวิตเร็วกว่า ถ้าไม่อยากเป็นตัวถ่วงทำให้ใครต้องรำคาญหรือเป็นภาระ เราก็ต้องเร่งความเร็วชีวิตให้ใกล้เคียงกัน ซึ่งนั่นก็จะทำให้เราเข้าสังคมได้ แต่หลังจากแยกย้ายกันกลับ ก็ต้องมาชาร์จพลังคนเดียว เพื่อให้ทุกอย่างกลับคืนมานั่นเอง
เวลาไปต่างจังหวัด ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะขับรถไปเอง ไปคนเดียวหรือไปสองคนกับแฟน ถ้าเพื่อนจะมาติดรถไปก็ไม่ได้มีปัญหา แต่น้อยครั้งมากที่จะติดรถคนอื่นไป เพราะผมชอบที่จะนั่งรถในความเร็วของตัวเอง ฟังเพลงที่ตัวเองชอบ มองข้างทางบ้างในแบบของตัวเอง ฮัมเพลงไปบ้างถ้าเจอเพลงที่ชอบ การขับรถไม่ใช่ปัญหา แต่การนั่งเฉยๆในพื้นที่ที่เรารู้สึกไม่คุ้นเคย นั่นลำบากกว่ามากสำหรับผม
เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ผมก็ยังนอนดึกและตื่นสาย แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าเรานัดกัน ผมจะเป็นคนไปรอคุณแน่นอน ผมตรงเวลาเสมอสำหรับเวลาของคนอื่น และถ้าผมบอกคุณว่าผมจะส่งงาน คุณก็ไม่ต้องกังวล สำหรับผม การไม่ส่งงานหรือส่งงานช้า มันคือหายนะ มันคือการทำลายตัวตนที่สั่งสมมาตั้งแต่เกิด และผมจะไม่ยอมทำลายมันด้วยตัวของผมเอง
และถ้าวันไหนผมอยากจะตื่นเช้า ผมก็จะตื่นเช้า แต่ถึงตื่นมาเร็ว ผมก็จะทำอะไรช้าๆเหมือนเดิม ไม่ได้รีบร้อน และก็อาจจะออกจากบ้านเวลาเดียวกับตอนตื่นสายนั่นล่ะครับ แต่แค่อาจจะได้ทำอะไรมากขึ้นในตอนเช้าเท่านั้นเอง สิ่งที่ดีกว่าในวัยเด็กก็คือผมไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามตื่นเช้าเพื่อใคร รวมถึงตื่นสายแต่ต้องมารู้สึกผิด กังวลว่าอนาคตจะเป็นยังไงถ้าติดนิสัยนี้ไปจนโต
แล้วคุณล่ะครับ มีนิสัยอะไรแบบนี้ไหม มีอะไรหรือเปล่าที่คุณทำมันมาตั้งแต่เด็กและสืบสานมาจนโต จนมันกลายเป็นบุคลิกลักษณะของคุณ เป็นช่วงเวลาพิเศษ เป็นสิ่งที่คุณหวงแหนในชีวิต ลองนึกดูดีๆนะครับ ผมเชื่อว่าทุกคนมี แต่บางครั้งมันอาจจะอยู่ใกล้จนคุณคิดไม่ถึง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ถ้าคุณรู้ คุณอาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้มากมายมหาศาลแบบที่คุณคิดไม่ถึงเลยล่ะครับ
ผมมานั่งย้อนนึกดู ที่ผมเขียนหนังสือได้ เพราะว่าในหัวผม มันสังเกตและเก็บข้อมูลสิ่งรอบข้างอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรกำลังเกิดขึ้น ผมมักจะเล่นบทผู้สังเกตการณ์อยู่เสมอ เอาเหตุการณ์เหล่านั้นมาต่อยอด ตกผลึก ตีความ และถ่ายทอดออกมา ซึ่งสิ่งที่ผมทำเพิ่มเติมในตอนโต ก็คือการเขียนหรือพิมพ์มันลงมาเท่านั้นเอง ส่วนกระบวนการอื่นตั้งแต่ต้น ผมทำมันมาตั้งแต่จำความได้แล้วล่ะครับ เพราะฉะนั้นเวลาใครถามว่า จะเขียนหนังสือต้องเริ่มต้นยังไง บางทีเราก็จะโฟกัสไปกับการเขียน สอนให้เค้าลองเขียน แต่จริงๆแล้ว มันมีสิ่งที่สำคัญกว่า ที่เป็นอาวุธของนักเขียนทุกคน ก็คือกระบวนการสังเกตและตีความในตอนต้นนั่นเองครับ
แต่ถ้าไม่ได้มองมันในแง่ดี ในแง่งดงามเพียงอย่างเดียว มันก็มีข้อเสียอยู่บ้างเหมือนกัน เป็นเหมือนบาดแผล เป็นแผลเป็นของนักเขียน นั่นก็คือ เรามักจะมีความคิดวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา เหมือนมองหาและถ่ายทอดต้นฉบับลงไปในสมองตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่ได้ก้าวไปไหน แต่วนเวียนอยู่ในเรื่องเดิม บริบทเดิม และกินพลังของเราไปมากพอสมควร แต่เชื่อเถอะครับ ทุกอย่างก็ต้องมีขาวและดำ เราได้ประโยชน์จากมันมหาศาล มันก็ต้องเรียกร้องจากเราคืนเช่นเดียวกัน
ลองนั่งลงวิเคราะห์ชีวิตตัวเองกันดูนะครับ มีอะไรบ้างหรือเปล่าที่ไม่ได้พึ่งจะเกิดขึ้น แต่อยู่กับคุณมาโดยตลอด เผื่อว่ามันจะกลายเป็นขุมทรัพย์ที่มีค่ามากสำหรับคุณ และเป็นความสุขที่คุณหลงลืมไป
ผมเป็นเด็กที่รู้สึกเหนื่อยเสมอถ้าจะต้องพบเจอกับผู้คนเยอะๆ เต็มที่ถ้าเกินสี่คน ก็จะรู้สึกแล้วว่าต้องใช้พลังมากเป็นพิเศษ และเมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์นั้น ก็จะต้องใช้เวลาหลบมาอยู่คนเดียวอีกวันหรือสองวัน เพื่อทำให้พลังคืนกลับมาดังเดิม แต่หากได้พบเจอเพื่อนแค่ 2- 3 คน มันกลับเป็นช่วงเวลาที่ดีกว่ามากทีเดียว ซึ่งนั่นล่ะครับ ช่วงเวลาที่ผมหยุด และตกผลึกอยู่เงียบๆกับเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ดี ดียิ่งกว่าช่วงเวลาที่ได้เจอกับเหตุการณ์นั้นจริงๆเสียอีก แต่ในเวลานั้นมันไม่ได้ง่ายแบบที่ผมกำลังบอก เพราะโลกในยุคนั้นเราไม่ได้เข้าใจความแตกต่างระหว่างแต่ละบุคคลมากขนาดนี้ ไม่มีใครเข้าใจคนที่เป็น introvert แม้กระทั่งตัวเราเอง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เหตุใดการพบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตาถึงได้เหนื่อยขนาดนั้น
นอกเหนือจากเรื่องนั้น ผมยังเป็นเด็กที่ชอบนอนดึกและตื่นสายเสมอมา รู้สึกเสมอว่าการถูกบังคับให้ต้องนอนตรงเวลาและตื่นตรงเวลา คือเครื่องมือทำลายอิสรภาพที่รุนแรงที่สุดที่สังคมมอบให้กับผม ผมอาจจะโชคดีกว่าเด็กหลายคนที่ได้เรียนใกล้บ้าน อีกทั้งคุณภาพของโรงเรียนก็ไม่ได้แย่ แต่ถึงกระนั้นผมก็ไปทันเวลาเข้าแถวน้อยครั้งมากๆ โดยมักจะไปถึงที่โรงเรียนในเวลาที่เริ่มเรียนเลย นั่นเพราะผมเสพติดการตื่นสาย และคิดว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างความสุขให้ผมเสมอในวัยเด็ก แต่นั่นล่ะครับ มันไม่เคยง่ายเลย เพราะความสุขของเราต้องแลกกับการที่ถูกคนอื่นมองว่าเป็นเด็กที่ไม่มีวินัย เป็นเด็กขี้เกียจ และก็ถูกทุกคนปรามาสว่ามันจะทำให้อนาคตของเราล้มเหลว ไม่ก้าวหน้า ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ เพราะเราถูกเชื่อมาตลอดว่า จะต้องตื่นเช้าเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้
แต่ผมเป็นเด็กที่ส่งงานก่อนเวลาเสมอ ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่จะส่งงานไม่ทันหรือไม่ส่งงาน ถ้านัดเวลากันผมจะเป็นคนที่ไปตรงเวลาเสมอ และผมก็เป็นแบบนั้นมาโดยตลอด หากแต่มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดใครหลายคนได้ ผู้ใหญ่หลายคนตัดสินคุณแค่เวลาที่คุณตื่น แต่นอกเหนือจากนั้น เรื่องอื่นๆ เขาทำเป็นมองไม่เห็นมันเสียแล้ว
ที่แปลกคือถึงแม้จะตื่นสาย ไปสาย แต่ผมไม่เคยรีบ ผมมีความสุขกับการมองบรรยากาศรอบตัว มีความสุขกับมัน ตีความ ถ่ายทอดให้ตัวเองฟัง การนั่งรถเมล์ในตอนเช้าแล้วมองวิวข้างทางโดยไม่ต้องคุยกับใคร ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ดีที่สุดในชีวิตของผมในช่วงนั้น ดูแปลกนะครับ ยิ่งสายก็ยิ่งไม่รีบ ด้วยนิสัยแบบนี้ ในสมัยวัยรุ่น มันช่างดูเป็นเด็กไม่มีอนาคตเอาเสียเลยนะครับ
ผมเล่าเรื่องนี้เพราะเมื่อไม่นานมานี้ อยู่ดีๆผมก็รู้สึกขึ้นมาว่า บางสิ่งบางอย่างผมคิดว่ามันพึ่งจะเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ผมชอบ ผมรู้สึกดีก็เลยทำลงไป แต่พอมาย้อนนึกดูว่าเริ่มต้นทำเมื่อไร กลับกลายเป็นว่ามันไม่ได้พึ่งเกิดขึ้น แต่มันคงอยู่แบบนี้ คงอยู่มาโดยตลอด
ทุกวันนี้ผมยังคงเป็นแบบเดิม เมื่อไรที่ทำงานหนักก็ต้องหาเวลาพักเพื่อตกผลึก หาเวลาหยุดเพื่อให้พลังงานในร่างกายมันสมดุล หากต้องเจอคนเยอะก็จะสูญเสียพลังไปมาก ก็ต้องหาวิธีฟื้นฟู ฟังแล้วคุ้นไหมครับ ใช่แล้ว มันไม่ต่างอะไรเลยกับในวัยเด็ก เพียงแต่ตอนนี้มันง่ายขึ้น เพราะเรารู้จักตัวเองแล้ว เราเข้าใจแล้วว่ามันเป็นแบบนี้เพราะอะไร ที่เราต้องทำแบบนี้เพราะอะไร
ชีวิตผมมันดำเนินไปช้ามากครับ ในวันนึงทำอะไรได้ไม่กี่อย่าง ทำมากไปก็เหนื่อย ก็เลยมักจะทำแต่สิ่งที่มันสำคัญจริงๆ ทำให้แต่ละวันมันได้รับการเติมเต็ม เมื่อต้องไปเจอกับคนอื่น ไปอยู่ร่วมกับคนอื่น บางครั้งเขาใช้ชีวิตเร็วกว่า ถ้าไม่อยากเป็นตัวถ่วงทำให้ใครต้องรำคาญหรือเป็นภาระ เราก็ต้องเร่งความเร็วชีวิตให้ใกล้เคียงกัน ซึ่งนั่นก็จะทำให้เราเข้าสังคมได้ แต่หลังจากแยกย้ายกันกลับ ก็ต้องมาชาร์จพลังคนเดียว เพื่อให้ทุกอย่างกลับคืนมานั่นเอง
เวลาไปต่างจังหวัด ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะขับรถไปเอง ไปคนเดียวหรือไปสองคนกับแฟน ถ้าเพื่อนจะมาติดรถไปก็ไม่ได้มีปัญหา แต่น้อยครั้งมากที่จะติดรถคนอื่นไป เพราะผมชอบที่จะนั่งรถในความเร็วของตัวเอง ฟังเพลงที่ตัวเองชอบ มองข้างทางบ้างในแบบของตัวเอง ฮัมเพลงไปบ้างถ้าเจอเพลงที่ชอบ การขับรถไม่ใช่ปัญหา แต่การนั่งเฉยๆในพื้นที่ที่เรารู้สึกไม่คุ้นเคย นั่นลำบากกว่ามากสำหรับผม
เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ผมก็ยังนอนดึกและตื่นสาย แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าเรานัดกัน ผมจะเป็นคนไปรอคุณแน่นอน ผมตรงเวลาเสมอสำหรับเวลาของคนอื่น และถ้าผมบอกคุณว่าผมจะส่งงาน คุณก็ไม่ต้องกังวล สำหรับผม การไม่ส่งงานหรือส่งงานช้า มันคือหายนะ มันคือการทำลายตัวตนที่สั่งสมมาตั้งแต่เกิด และผมจะไม่ยอมทำลายมันด้วยตัวของผมเอง
และถ้าวันไหนผมอยากจะตื่นเช้า ผมก็จะตื่นเช้า แต่ถึงตื่นมาเร็ว ผมก็จะทำอะไรช้าๆเหมือนเดิม ไม่ได้รีบร้อน และก็อาจจะออกจากบ้านเวลาเดียวกับตอนตื่นสายนั่นล่ะครับ แต่แค่อาจจะได้ทำอะไรมากขึ้นในตอนเช้าเท่านั้นเอง สิ่งที่ดีกว่าในวัยเด็กก็คือผมไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามตื่นเช้าเพื่อใคร รวมถึงตื่นสายแต่ต้องมารู้สึกผิด กังวลว่าอนาคตจะเป็นยังไงถ้าติดนิสัยนี้ไปจนโต
แล้วคุณล่ะครับ มีนิสัยอะไรแบบนี้ไหม มีอะไรหรือเปล่าที่คุณทำมันมาตั้งแต่เด็กและสืบสานมาจนโต จนมันกลายเป็นบุคลิกลักษณะของคุณ เป็นช่วงเวลาพิเศษ เป็นสิ่งที่คุณหวงแหนในชีวิต ลองนึกดูดีๆนะครับ ผมเชื่อว่าทุกคนมี แต่บางครั้งมันอาจจะอยู่ใกล้จนคุณคิดไม่ถึง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ถ้าคุณรู้ คุณอาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้มากมายมหาศาลแบบที่คุณคิดไม่ถึงเลยล่ะครับ
ผมมานั่งย้อนนึกดู ที่ผมเขียนหนังสือได้ เพราะว่าในหัวผม มันสังเกตและเก็บข้อมูลสิ่งรอบข้างอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรกำลังเกิดขึ้น ผมมักจะเล่นบทผู้สังเกตการณ์อยู่เสมอ เอาเหตุการณ์เหล่านั้นมาต่อยอด ตกผลึก ตีความ และถ่ายทอดออกมา ซึ่งสิ่งที่ผมทำเพิ่มเติมในตอนโต ก็คือการเขียนหรือพิมพ์มันลงมาเท่านั้นเอง ส่วนกระบวนการอื่นตั้งแต่ต้น ผมทำมันมาตั้งแต่จำความได้แล้วล่ะครับ เพราะฉะนั้นเวลาใครถามว่า จะเขียนหนังสือต้องเริ่มต้นยังไง บางทีเราก็จะโฟกัสไปกับการเขียน สอนให้เค้าลองเขียน แต่จริงๆแล้ว มันมีสิ่งที่สำคัญกว่า ที่เป็นอาวุธของนักเขียนทุกคน ก็คือกระบวนการสังเกตและตีความในตอนต้นนั่นเองครับ
แต่ถ้าไม่ได้มองมันในแง่ดี ในแง่งดงามเพียงอย่างเดียว มันก็มีข้อเสียอยู่บ้างเหมือนกัน เป็นเหมือนบาดแผล เป็นแผลเป็นของนักเขียน นั่นก็คือ เรามักจะมีความคิดวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา เหมือนมองหาและถ่ายทอดต้นฉบับลงไปในสมองตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่ได้ก้าวไปไหน แต่วนเวียนอยู่ในเรื่องเดิม บริบทเดิม และกินพลังของเราไปมากพอสมควร แต่เชื่อเถอะครับ ทุกอย่างก็ต้องมีขาวและดำ เราได้ประโยชน์จากมันมหาศาล มันก็ต้องเรียกร้องจากเราคืนเช่นเดียวกัน
ลองนั่งลงวิเคราะห์ชีวิตตัวเองกันดูนะครับ มีอะไรบ้างหรือเปล่าที่ไม่ได้พึ่งจะเกิดขึ้น แต่อยู่กับคุณมาโดยตลอด เผื่อว่ามันจะกลายเป็นขุมทรัพย์ที่มีค่ามากสำหรับคุณ และเป็นความสุขที่คุณหลงลืมไป