ถ้ามันจะมีแค่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลมากที่สุด
ต่อความสุขและความสำเร็จในชีวิตของทุกคน
คุณว่าปัจจัยนั้นมันคืออะไรครับ
ผมรู้สึกถึงเรื่องนี้กับตัวเองมาสักพักใหญ่ๆ ยังไม่ถึงกับตกผลึกมากเท่าที่ควร แต่เหตุการณ์หลายอย่างในชีวิตช่วงหลังๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง รวมไปถึงคนรอบตัว หนังสือที่อ่าน และสื่อทุกอย่างที่เสพ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ มันก็ดูราวจะพูดตรงกันว่า ถ้าจะมีความลับหนึ่งเดียวในการเดินทางไปสู่ความสุขที่แท้จริง รวมถึงความสำเร็จของชีวิตในทุกด้าน มันก็คงจะเป็นสิ่งนี้
หลายคนอาจจะเคยอ่านผ่านหูผ่านตามาบ้าง ถึงทฤษฎีมาร์ชเมลโล่ (Marshmallow) ที่พูดถึงงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอเมริกา ที่ทดสอบกับเด็กด้วยการให้ขนมมาร์ชเมลโล่ (ซึ่งในบริบทของเด็กที่นั่น มันคงจะน่ากินและดึงดูดใจมากๆ) และบอกว่า หากรอได้เกิน 15 นาที โดยยังไม่กินมัน เด็กกลุ่มนั้นก็จะได้ขนมเพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง
ส่วนเด็กที่อดใจไม่ไหว ก็จะไม่ได้ขนมเพิ่ม หลังจากนั้นก็ติดตามชีวิตของเด็กเหล่านั้นอย่างยาวนานจนกระทั่งเติบโต และก็ได้บทสรุปว่า เด็กที่สามารถรอคอยได้นั้น มีชีวิตที่ดีกว่าและประสบความสำเร็จกว่าอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีก็มีอีกการทดลองนึงที่ทำซ้ำกันและเลือกเด็กที่หลากหลายกว่าเดิม และสุดท้ายได้บทสรุปว่า มันจะวัดผลได้แค่กับเด็กบางกลุ่ม เพราะหากเด็กมีฐานะที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะเคยกินมาแล้ว บางคนอาจจะรู้ว่าสามารถออกไปข้างนอกแล้วซื้อกินได้สบายๆ หรือบางคนอาจจะไม่เคยกินมาก่อนเลย และการตัดสินใจกินเสียเลยก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตที่จะได้กินมาร์ชเมลโล่
ถึงกระนั้น ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร สำหรับผมไม่สำคัญเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมสนใจก็คือ แล้วทำไมพวกเขาถึงตั้งสมมุติฐานว่า เด็กที่อดทนรอคอยได้นานกว่า จะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า พวกเขาคิดว่าการอดใจรอ สำคัญอย่างไร และมีความสัมพันธ์อะไร
กับสิ่งที่เกิดตามมาในชีวิตกันหรือ
ประเทศไทยเรามีหลายคำอุปมาอุปไมย ที่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ รวมไปถึงก็พูดถึงสิ่งตรงข้ามเช่นเดียวกัน เรามีอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เรามีช้าๆได้พร้าเล่มงาม แต่เราก็มีน้ำขึ้นให้รีบตัก อีกทั้งยังเตือนว่าบางทีเราอาจจะพบไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น ไม่ว่าจะอย่างไร คำพังเพยเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นเหมือนกันว่า บางทีจังหวะเวลา การอดทนรอคอย การคว้าโอกาส ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ มีผลกับชีวิตแทบทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่ผมตกผลึกเองว่า ถ้าจะมีแค่ปัจจัยเดียว ที่มันน่าจะมีผลมากที่สุดกับชีวิตของเราทุกคน มันอาจจะเกี่ยวกับทั้งหมดที่พูดมา แต่ผมขอเรียกมันว่าสิ่งนี้ มันคือ การตัดสินใจทำสิ่งต่างๆในชีวิต โดยยึดเอาผลประโยชน์ในระยะยาวเป็นหลัก
ผมเชื่อว่าเราทุกคนในโลกก็รู้ว่า หากเราเก็บเงินตั้งแต่อายุยังน้อย แถมยังมีพลังทวีคูณของดอกเบี้ยช่วยอีก ในระยะยาวเราก็จะมีเงินมากพอที่จะเลี้ยงชีวิตเราได้ ในตอนที่เราทำงานไม่ไหว เช่นเดียวกันการลงทุนบางอย่างที่ได้รับผลตอบแทนเยอะอย่างน่าแปลกใจ ก็มักจะตามมาด้วยความเสี่ยงที่มาก ในขณะเดียวกัน การลงทุนที่เสี่ยงน้อย หากเราลงทุนอย่างต่อเนื่อง ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ เราก็จะมีทรัพย์สินมากขึ้นมาอย่างแน่นอนในวันใดวันนึง
เช่นกันหากเราออกกำลังกายอย่างถูกวิธีทุกเช้าหรือทุกเย็น 3-5 วันต่อสัปดาห์ ทุกสัปดาห์ ต่อเนื่องไปทุกเดือน ทุกปี เราก็ย่อมจะมีสุขภาพที่แข็งแรง กระชุ่มกระชวย สดชื่น ในระยะยาวพอเริ่มมีอายุ หน้าตาก็จะอ่อนกว่าวัย ดูดีกว่าคนในวัยเดียวกันที่ไม่ได้ออกกำลังกาย รวมไปถึงถ้าเรากินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่กินมากหรือน้อยจนเกินไป ไม่กินเย็น กินดึก มากจนเกินไป ไม่กินมัน ไม่กินหวาน ไม่กินของทอด มากจนเกินไป ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้ามากจนเกินไป อย่างไรเราก็จะมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว แก่ตัวไปก็ไม่ลงพุง
ดูดีกว่าคนในวัยเดียวกันเช่นเดียวกัน
อีกสักเรื่องนึงคือในการทำงาน หากเราตั้งใจพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา หาเวลาลงเรียน อ่านหนังสือเพิ่มเติม ฟัง podcast ที่ให้ความรู้ พัฒนาทักษะใหม่ๆอยู่เสมอ พักผ่อนตามเวลาที่สมควร นอนให้เพียงพอ ไม่เครียดจนเกินไป อย่างไรมันก็จะทำให้เราค่อยๆเติบโตไปเรื่อยๆ ในเส้นทางที่เราเลือกเดิน
ฟังดูมันช่างง่ายดาย ทุกคนก็รู้เรื่องนี้ ทุกคนรู้ว่าหยอดเหรียญลงไปในกระปุกวันละ 1 เหรียญ อย่างไรเสีย 10 ปีก็จะมีอย่างน้อยประมาณ 3,650 บาท แต่ทำไมการหยอดกระปุกวันละ 1 บาทมันถึงยากสำหรับเรา อาจจะมีบางเรื่องที่เราทำได้ แต่ก็มีบางเรื่องที่ทำไม่ได้ และยังมีใครอีกหลายคน ที่ทำไม่ได้เลยสักเรื่อง
ผมว่ามนุษย์ถูกสร้างมาให้ตอบสนองต่อกิเลส หรือผลประโยชน์ระยะสั้น หรือผลประโยชน์ตรงหน้าที่สามารถรับรู้ได้ทันทีเป็นหลักครับ ถ้าเราออกกำลังกายวันนี้แล้วกล้ามท้องขึ้นเลยทันที ผมว่าใครก็ออก ถ้าเราพัฒนาตัวเองวันนี้ แล้วเงินเดือนขึ้นเลยพรุ่งนี้ ใครก็ทำ ถ้าเราเก็บเงินวันนี้
แล้วพรุ่งนี้รวยเลย ใครก็เก็บ
แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราไม่ออกกำลังกายแล้วเรานอนกดมือถือเล่น เราก็ชิลล์เลยตอนนี้ เราไม่พัฒนาตัวเองแต่ดูซีรี่ย์แทน เราก็ฟินเลยตอนนี้ เราเอาเงินไปช้อปปิ้ง ไม่ต้องเก็บ เราก็มีความสุขเลยเช่นเดียวกัน เห็นไหมครับว่ามันง่ายกว่าเห็นๆ
ผมอ่านบทสัมภาษณ์ของคนที่ประสบความสำเร็จมากมาย โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องของนักกีฬา ถ้าใครได้ดู The last dance ก็จะเห็นว่าไมเคิล จอร์แดน ต้องเสียสละหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของเขาขนาดไหน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กลับมาซ้อมหลังจากช่วง lock down covid-19 ด้วยความเร็วและความแข็งแรงที่มากขึ้น ทั้งที่ไม่ได้ลงเตะเลย คิดว่าเขาต้องหักห้ามใจตัวเองจากหลายสิ่งหลายอย่างที่ให้ประโยชน์ระยะสั้นกับเขามากแค่ไหน ทั้งหมดทั้งมวลอธิบายได้ด้วยคำพูดของ “เอเลียด คิปโชเก” นักวิ่งปอดเหล็กเจ้าของสถิติโลก ชาวเคนยา ผู้ซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกที่วิ่ง “ฟูล มาราธอน” ระยะทาง 42.195 กม.
ด้วยการใช้เวลาน้อยกว่า 2 ชั่วโมง
“Only the disciplined ones are free in life. If you aren’t disciplined, you are a slave to your moods. You are a slave to your passions. That’s a fact.”
มีเพียงการมีวินัยเท่านั้น ที่จะทำให้คุณเป็นอิสระ
ทฤษฏีการบริหารเวลาที่โด่งดังที่สุด ที่เรียกว่า ไอเซนฮาวร์ แมทริกซ์ (Eisenhower's Matrix) ของท่านประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีอันดับที่ 34 ของอเมริกา ซึ่งแบ่งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่ต้องทำ ด้วยสองแกน นั่นคือความสำคัญ และความเร่งด่วน และท่านผู้นำได้บอกไว้ว่า ในส่วนช่องที่เป็นสิ่งที่ "สำคัญ" แต่ 'ไม่เร่งด่วน" ก็ให้ Schedule a time to do it คือหาเวลาทำมันซะ
ทันทีที่มีเวลา หลังจากคุณเคลียร์สิ่งที่
"สำคัญ" และ "เร่งด่วน" ออกไป
แต่สตีเวน อาร์โควีย์ ที่ปรึกษาทางด้านการบริหารจัดการชื่อดังระดับโลก ได้บอกไว้ในทฤษฏี อุปนิสัย 7 ประการของผู้มีประสิทธิภาพสูง หรือ The 7 Habits of Highly Effective People ในข้อ 3 นั้น เขาได้บอกไว้ว่าให้เรา put first thing first คือเอาสิ่งที่ควรทำมาทำก่อน และสิ่งที่ว่านั้น คือสิ่งที่ "สำคัญ" แต่ยัง "ไม่เร่งด่วน" ซึ่งเขาเน้นเหลือเกินว่า ให้รีบทำเสียเลย ก่อนที่มันจะกลายเป็นสิ่งที่เร่งด่วนขึ้นมา
เพราะถึงตอนนั้นเราจะไม่มีเวลาทำมันแล้ว
เราคงออกกำลังกายไม่ไหว
เมื่อเรานอนป่วยเสียแล้ว
เราคงมาเลือกทานอาหารที่ดีไม่ไหว
เมื่อเราต้องทานแต่ยาเสียแล้ว
เราคงมาค่อยๆเก็บเงินไม่ได้
เมื่อหนี้เราท่วมหัวเสียแล้ว
เช่นเดียวกัน
เราคงมาค่อยๆพัฒนาตัวเองไม่ทันแล้ว
ในวันที่เราพบว่า
รุ่นน้องที่เข้ามาใหม่นั้นทำงานเก่งกว่าเรามากมาย
เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ในชีวิต ผมว่า การลงมือทำโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะยาวนั้นคือสิ่งที่สำคัญ และอาจจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของใครหลายคนเลยก็ได้ว่า มันจะเดินทางไปอย่างไร ผมรู้นะครับว่ามันยาก และตัวผมเองก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้กับทุกเรื่อง แต่ผมเชื่อว่าหลายท่านที่อ่าน มีความสามารถ
มีความยับยั้งชั่งใจ และมีความอดทน มีวินัย
หรืออาจจะมี GRIT มากกว่าผม
สุดท้ายผมอยากจะฝากประโยคของ บรู๊ซ ลี สุดยอดดาราจีนที่ดังกระหึ่มฮอลลีวู้ดได้กล่าวเอาไว้
“ผมไม่กลัวคนที่เคยฝึกเตะมา 10,000 ครั้ง แต่กลัวคนที่ฝึกเตะท่าเดิมมาแล้ว 10,000 ครั้ง”
เอาล่ะ มาเริ่มเตะท่าไม้ตายของคุณไปทุกวัน
ทุกเดือน ทุกปี และแน่นอน
มาเริ่มกันตั้งแต่วันนี้เถอะครับ
หลายคนอาจจะเคยอ่านผ่านหูผ่านตามาบ้าง ถึงทฤษฎีมาร์ชเมลโล่ (Marshmallow) ที่พูดถึงงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในอเมริกา ที่ทดสอบกับเด็กด้วยการให้ขนมมาร์ชเมลโล่ (ซึ่งในบริบทของเด็กที่นั่น มันคงจะน่ากินและดึงดูดใจมากๆ) และบอกว่า หากรอได้เกิน 15 นาที โดยยังไม่กินมัน เด็กกลุ่มนั้นก็จะได้ขนมเพิ่มอีกชิ้นหนึ่ง
ส่วนเด็กที่อดใจไม่ไหว ก็จะไม่ได้ขนมเพิ่ม หลังจากนั้นก็ติดตามชีวิตของเด็กเหล่านั้นอย่างยาวนานจนกระทั่งเติบโต และก็ได้บทสรุปว่า เด็กที่สามารถรอคอยได้นั้น มีชีวิตที่ดีกว่าและประสบความสำเร็จกว่าอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีก็มีอีกการทดลองนึงที่ทำซ้ำกันและเลือกเด็กที่หลากหลายกว่าเดิม และสุดท้ายได้บทสรุปว่า มันจะวัดผลได้แค่กับเด็กบางกลุ่ม เพราะหากเด็กมีฐานะที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะเคยกินมาแล้ว บางคนอาจจะรู้ว่าสามารถออกไปข้างนอกแล้วซื้อกินได้สบายๆ หรือบางคนอาจจะไม่เคยกินมาก่อนเลย และการตัดสินใจกินเสียเลยก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตที่จะได้กินมาร์ชเมลโล่
ถึงกระนั้น ไม่ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร สำหรับผมไม่สำคัญเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมสนใจก็คือ แล้วทำไมพวกเขาถึงตั้งสมมุติฐานว่า เด็กที่อดทนรอคอยได้นานกว่า จะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า พวกเขาคิดว่าการอดใจรอ สำคัญอย่างไร และมีความสัมพันธ์อะไร
กับสิ่งที่เกิดตามมาในชีวิตกันหรือ
ประเทศไทยเรามีหลายคำอุปมาอุปไมย ที่พูดถึงสิ่งเหล่านี้ รวมไปถึงก็พูดถึงสิ่งตรงข้ามเช่นเดียวกัน เรามีอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เรามีช้าๆได้พร้าเล่มงาม แต่เราก็มีน้ำขึ้นให้รีบตัก อีกทั้งยังเตือนว่าบางทีเราอาจจะพบไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น ไม่ว่าจะอย่างไร คำพังเพยเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นเหมือนกันว่า บางทีจังหวะเวลา การอดทนรอคอย การคว้าโอกาส ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ มีผลกับชีวิตแทบทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่ผมตกผลึกเองว่า ถ้าจะมีแค่ปัจจัยเดียว ที่มันน่าจะมีผลมากที่สุดกับชีวิตของเราทุกคน มันอาจจะเกี่ยวกับทั้งหมดที่พูดมา แต่ผมขอเรียกมันว่าสิ่งนี้ มันคือ การตัดสินใจทำสิ่งต่างๆในชีวิต โดยยึดเอาผลประโยชน์ในระยะยาวเป็นหลัก
ผมเชื่อว่าเราทุกคนในโลกก็รู้ว่า หากเราเก็บเงินตั้งแต่อายุยังน้อย แถมยังมีพลังทวีคูณของดอกเบี้ยช่วยอีก ในระยะยาวเราก็จะมีเงินมากพอที่จะเลี้ยงชีวิตเราได้ ในตอนที่เราทำงานไม่ไหว เช่นเดียวกันการลงทุนบางอย่างที่ได้รับผลตอบแทนเยอะอย่างน่าแปลกใจ ก็มักจะตามมาด้วยความเสี่ยงที่มาก ในขณะเดียวกัน การลงทุนที่เสี่ยงน้อย หากเราลงทุนอย่างต่อเนื่อง ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ เราก็จะมีทรัพย์สินมากขึ้นมาอย่างแน่นอนในวันใดวันนึง
เช่นกันหากเราออกกำลังกายอย่างถูกวิธีทุกเช้าหรือทุกเย็น 3-5 วันต่อสัปดาห์ ทุกสัปดาห์ ต่อเนื่องไปทุกเดือน ทุกปี เราก็ย่อมจะมีสุขภาพที่แข็งแรง กระชุ่มกระชวย สดชื่น ในระยะยาวพอเริ่มมีอายุ หน้าตาก็จะอ่อนกว่าวัย ดูดีกว่าคนในวัยเดียวกันที่ไม่ได้ออกกำลังกาย รวมไปถึงถ้าเรากินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่กินมากหรือน้อยจนเกินไป ไม่กินเย็น กินดึก มากจนเกินไป ไม่กินมัน ไม่กินหวาน ไม่กินของทอด มากจนเกินไป ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้ามากจนเกินไป อย่างไรเราก็จะมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว แก่ตัวไปก็ไม่ลงพุง
ดูดีกว่าคนในวัยเดียวกันเช่นเดียวกัน
อีกสักเรื่องนึงคือในการทำงาน หากเราตั้งใจพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา หาเวลาลงเรียน อ่านหนังสือเพิ่มเติม ฟัง podcast ที่ให้ความรู้ พัฒนาทักษะใหม่ๆอยู่เสมอ พักผ่อนตามเวลาที่สมควร นอนให้เพียงพอ ไม่เครียดจนเกินไป อย่างไรมันก็จะทำให้เราค่อยๆเติบโตไปเรื่อยๆ ในเส้นทางที่เราเลือกเดิน
ฟังดูมันช่างง่ายดาย ทุกคนก็รู้เรื่องนี้ ทุกคนรู้ว่าหยอดเหรียญลงไปในกระปุกวันละ 1 เหรียญ อย่างไรเสีย 10 ปีก็จะมีอย่างน้อยประมาณ 3,650 บาท แต่ทำไมการหยอดกระปุกวันละ 1 บาทมันถึงยากสำหรับเรา อาจจะมีบางเรื่องที่เราทำได้ แต่ก็มีบางเรื่องที่ทำไม่ได้ และยังมีใครอีกหลายคน ที่ทำไม่ได้เลยสักเรื่อง
ผมว่ามนุษย์ถูกสร้างมาให้ตอบสนองต่อกิเลส หรือผลประโยชน์ระยะสั้น หรือผลประโยชน์ตรงหน้าที่สามารถรับรู้ได้ทันทีเป็นหลักครับ ถ้าเราออกกำลังกายวันนี้แล้วกล้ามท้องขึ้นเลยทันที ผมว่าใครก็ออก ถ้าเราพัฒนาตัวเองวันนี้ แล้วเงินเดือนขึ้นเลยพรุ่งนี้ ใครก็ทำ ถ้าเราเก็บเงินวันนี้
แล้วพรุ่งนี้รวยเลย ใครก็เก็บ
แต่ในความเป็นจริง ถ้าเราไม่ออกกำลังกายแล้วเรานอนกดมือถือเล่น เราก็ชิลล์เลยตอนนี้ เราไม่พัฒนาตัวเองแต่ดูซีรี่ย์แทน เราก็ฟินเลยตอนนี้ เราเอาเงินไปช้อปปิ้ง ไม่ต้องเก็บ เราก็มีความสุขเลยเช่นเดียวกัน เห็นไหมครับว่ามันง่ายกว่าเห็นๆ
ผมอ่านบทสัมภาษณ์ของคนที่ประสบความสำเร็จมากมาย โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดที่สุดก็น่าจะเป็นเรื่องของนักกีฬา ถ้าใครได้ดู The last dance ก็จะเห็นว่าไมเคิล จอร์แดน ต้องเสียสละหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของเขาขนาดไหน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กลับมาซ้อมหลังจากช่วง lock down covid-19 ด้วยความเร็วและความแข็งแรงที่มากขึ้น ทั้งที่ไม่ได้ลงเตะเลย คิดว่าเขาต้องหักห้ามใจตัวเองจากหลายสิ่งหลายอย่างที่ให้ประโยชน์ระยะสั้นกับเขามากแค่ไหน ทั้งหมดทั้งมวลอธิบายได้ด้วยคำพูดของ “เอเลียด คิปโชเก” นักวิ่งปอดเหล็กเจ้าของสถิติโลก ชาวเคนยา ผู้ซึ่งเป็นมนุษย์คนแรกที่วิ่ง “ฟูล มาราธอน” ระยะทาง 42.195 กม.
ด้วยการใช้เวลาน้อยกว่า 2 ชั่วโมง
“Only the disciplined ones are free in life. If you aren’t disciplined, you are a slave to your moods. You are a slave to your passions. That’s a fact.”
มีเพียงการมีวินัยเท่านั้น ที่จะทำให้คุณเป็นอิสระ
ทฤษฏีการบริหารเวลาที่โด่งดังที่สุด ที่เรียกว่า ไอเซนฮาวร์ แมทริกซ์ (Eisenhower's Matrix) ของท่านประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีอันดับที่ 34 ของอเมริกา ซึ่งแบ่งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่ต้องทำ ด้วยสองแกน นั่นคือความสำคัญ และความเร่งด่วน และท่านผู้นำได้บอกไว้ว่า ในส่วนช่องที่เป็นสิ่งที่ "สำคัญ" แต่ 'ไม่เร่งด่วน" ก็ให้ Schedule a time to do it คือหาเวลาทำมันซะ
ทันทีที่มีเวลา หลังจากคุณเคลียร์สิ่งที่
"สำคัญ" และ "เร่งด่วน" ออกไป
แต่สตีเวน อาร์โควีย์ ที่ปรึกษาทางด้านการบริหารจัดการชื่อดังระดับโลก ได้บอกไว้ในทฤษฏี อุปนิสัย 7 ประการของผู้มีประสิทธิภาพสูง หรือ The 7 Habits of Highly Effective People ในข้อ 3 นั้น เขาได้บอกไว้ว่าให้เรา put first thing first คือเอาสิ่งที่ควรทำมาทำก่อน และสิ่งที่ว่านั้น คือสิ่งที่ "สำคัญ" แต่ยัง "ไม่เร่งด่วน" ซึ่งเขาเน้นเหลือเกินว่า ให้รีบทำเสียเลย ก่อนที่มันจะกลายเป็นสิ่งที่เร่งด่วนขึ้นมา
เพราะถึงตอนนั้นเราจะไม่มีเวลาทำมันแล้ว
เราคงออกกำลังกายไม่ไหว
เมื่อเรานอนป่วยเสียแล้ว
เราคงมาเลือกทานอาหารที่ดีไม่ไหว
เมื่อเราต้องทานแต่ยาเสียแล้ว
เราคงมาค่อยๆเก็บเงินไม่ได้
เมื่อหนี้เราท่วมหัวเสียแล้ว
เช่นเดียวกัน
เราคงมาค่อยๆพัฒนาตัวเองไม่ทันแล้ว
ในวันที่เราพบว่า
รุ่นน้องที่เข้ามาใหม่นั้นทำงานเก่งกว่าเรามากมาย
เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ในชีวิต ผมว่า การลงมือทำโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะยาวนั้นคือสิ่งที่สำคัญ และอาจจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของใครหลายคนเลยก็ได้ว่า มันจะเดินทางไปอย่างไร ผมรู้นะครับว่ามันยาก และตัวผมเองก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้กับทุกเรื่อง แต่ผมเชื่อว่าหลายท่านที่อ่าน มีความสามารถ
มีความยับยั้งชั่งใจ และมีความอดทน มีวินัย
หรืออาจจะมี GRIT มากกว่าผม
สุดท้ายผมอยากจะฝากประโยคของ บรู๊ซ ลี สุดยอดดาราจีนที่ดังกระหึ่มฮอลลีวู้ดได้กล่าวเอาไว้
“ผมไม่กลัวคนที่เคยฝึกเตะมา 10,000 ครั้ง แต่กลัวคนที่ฝึกเตะท่าเดิมมาแล้ว 10,000 ครั้ง”
เอาล่ะ มาเริ่มเตะท่าไม้ตายของคุณไปทุกวัน
ทุกเดือน ทุกปี และแน่นอน
มาเริ่มกันตั้งแต่วันนี้เถอะครับ