ผมอาจจะวิ่งไม่เร็ว แต่สิ่งที่แน่นอน..
คือ "ผมจะวิ่งไม่หยุด"
ความรู้ใหม่จากการอ่านหนังสือ HOMO finishers ของนิ้วกลมคือ มนุษย์เราคือเผ่าพันธุ์ที่วิ่งต่อเนื่องได้นานที่สุด ลองนึกดูเถอะ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหนที่คุณคิดว่ามีความโดดเด่นในด้านการ “วิ่ง” แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้น กลับโดดเด่นในด้านความเร็ว แต่ไม่ใช่ความอึด
เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กว่าถ้าพูดถึงการวิ่งในหมู่สัตว์บก เราต้องนึกถึงเสือชีต้า ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติวิ่งเร็วที่สุดในโลก ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถวิ่งได้นานสักเท่าไรนัก และสัตว์กินพืชจำพวกกวางที่เป็นเหยื่อ ก็มักจะเสียชีวิตเพราะวิ่งหนีไม่ทันในช่วงเวลาสั้นๆ หากแต่ถ้าหนีรอดไปได้เพียงแค่พักเดียว ก็มักจะรักษาชีวิตไว้ได้ เพราะวิ่งไม่นาน เจ้าพวกเสือจ้าวความเร็วก็หอบหายใจไม่ทันเสียแล้ว
อีกตัวที่เราน่าจะนึกถึงกันก็คือม้า ม้ามีทั้งความเร็ว แถมยังมีความอึด แต่ถ้าเราเคยดูในหนังก็คงจะจำกันได้ว่า ขี่ไปได้สักพัก เหล่าจอมยุทธ์ก็ต้องลงจากหลังม้า เพื่อให้ม้าตัวเก่งได้พักบ้าง หลังจากนั้นจึงวิ่งกันต่อไปได้
จะว่าไปสัตว์หลายประเภทมีขาที่แข็งแรงกว่าเรา สังเกตได้ง่ายจากการที่เรายืนกันได้ไม่นาน ก็จำเป็นต้องนั่งบ้าง เพราะมันเมื่อยขาแสนจะทานทน แต่สัตว์สี่ขาหลายตัวไม่จำเป็นต้องนั่ง เผลอๆเวลานอนก็ยังยืนหลับอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น ความแข็งแรงของขา ไม่ใช่ส่วนประกอบสำคัญที่เป็นตัวกำหนดว่าเผ่าพันธุ์ไหนควรจะวิ่งได้นาน แน่นอนเราไม่อาจจะพูดเรื่องความเข้มแข็งของหัวจิตหัวใจได้ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเสือ ม้า แม้กระทั่งหมา แมว ตัวไหนมีหัวจิตหัวใจเป็นอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ กระบวนการระบายความร้อนในร่างกายต่างหาก
ว่ากันว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มีเหงื่อ และแน่นอนเราระบายเหงื่อและความร้อนออกมาทางรูขุมขน ซึ่งสัตว์ชนิดอื่นไม่มี และไม่สามารถทำแบบนี้ได้ เพราะฉะนั้นหากมันยังคงฝืน ตะบี้ตะบันวิ่ง ภายในร่างกายมันอาจจะเกิดความร้อนมากจนอวัยวะภายในมันไม่สามารถทนทานได้ คล้ายกับที่สมัยก่อนเราเชื่อกันว่าถ้าวิ่งเร็วหรือนานเกินไป ตับเราอาจจะแตกระเบิด และก็เสียชีวิตลงได้ แต่ในปัจจุบันเราก็ทราบกันแล้วว่า หากมีการฝึกซ้อมที่ดี พักผ่อนดี กินอาหารดี วางแผนมาอย่างดี เราก็สามารถวิ่งอย่างต่อเนื่อง หรือบางคนอาจจะสลับเดินบ้าง ในงานวิ่งมาราธอนเราก็จะเห็นว่าได้ 4 – 6 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเวลาที่สัตว์ชนิดอื่นอาจจะทำได้แค่ใฝ่ฝันถึง
และด้วยคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ทำให้บรรพบุรุษเรามีชีวิตรอดได้ เพราะเราไม่มีความแข็งแรงหรืออาวุธที่ธรรมชาติให้เรามาเหมือนเขี้ยว เขา หรือกรงเล็บต่างๆ ที่พอจะล่าสัตว์อื่นได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือวิ่งไล่มันจนกระทั่งมันทนไม่ไหว ยอมแพ้ หยุดวิ่ง ยอมให้เราจับไปกินแต่โดยดี ก็ลองคิดดูสิครับว่าถ้าวิ่งไล่กัน ในหลักชั่วโมง ใครมันจะไปสู้เราได้ แค่คิดก็เหนื่อยแทนมันเสียแล้ว
แต่แน่นอน นั่นมันคืออดีตครับ พอคนเราวิวัฒนาการมาถึงจุดที่สบายอย่างถึงที่สุด คือเมื่อก่อนเราอาจจะยังจำเป็นต้องเดินไปร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารตามสั่ง เพื่อให้ได้ของกินมาประทังชีวิต คือลดจากการวิ่งหลายสิบกิโล เป็นชั่วโมงๆ มาเป็นเดินไม่เกินหนึ่งกิโลเมตร ด้วยเวลาสบายๆ แต่ปัจจุบันเราทำแค่เพียงหยิบโทรศัพท์มา แล้วสักพักก็จะมีคนเอาอาหารมาส่งให้ถึงหน้าบ้าน ลองคิดดูสิครับว่า เราจะอ่อนแอไปมากขนาดไหน
ถึงแม้ปัจจุบันการวิ่งออกกำลังกายจะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่มันก็ยังเกิดขึ้นกับคนที่มีเวลา มีฐานะเพียงพอที่จะไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ และมีความชื่นชอบ หรือมีทัศนคติที่อยากจะดูแลตัวเองให้สุขภาพแข็งแรง รวมไปถึงคนที่อยากจะแสดงออกใน social network ด้วย ซึ่งแน่นอน ทั้งหมดนี้ ถ้านับรวมประชากรทั้งประเทศ ก็คงมีไม่เท่าไร จะเยอะแค่ในเมืองหลวงเพียงเท่านั้น
เมื่อทุกอย่างได้มาโดยง่าย ง่ายขึ้นเรื่อยๆ และง่ายขึ้นอีกในโลกยุคดิจิตอลนี้ มันทำให้มนุษย์เราค่อยๆสูญเสียคุณสมบัติข้อนี้ไปทีละน้อย เราอดทนน้อยลง พยายามน้อยลง จดจ่ออยู่กับเป้าหมายได้น้อยลง และลงมือทำอย่างต่อเนื่องได้สั้นลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะถึงแม้จะทำทุกสิ่งเบาบางลงไป แต่หลายครั้ง มันก็ยังเพียงพอให้เราเลี้ยงชีวิตเราได้
ผมเคยอ่านคำพูดของวิล สมิธ ที่บอกว่า เขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถน้อย แต่สิ่งที่เขามีคือความอดทนไม่ย่อท้อ เขาบอกว่าหากใครต้องการแข่งกับเขาในเส้นทางที่เขาเลือก หนทางนั้นมีเพียงแค่สองทาง หนึ่งคือคุณยอมแพ้ และสองคือ เขาตายคาสนามแข่ง เพราะ..แน่นอน เขาไม่มีทางยอมแพ้ ถ้าคุณจะชนะเขา คุณต้องอดทนทำมันไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะตายนั่นเอง วิล สมิธบอกว่าเขาเป็นคนแบบนั้น เป็นคนที่ไม่มีทางออกจากสนามแข่งหากยังไม่ได้รับชัยชนะ หรือความตาย อย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ใช่แค่วิล สมิธหรอก แต่ในอดีต เราทุกคนเป็นแบบนั้น
ผมเคยฟังเรื่องราวของผู้บริหารที่รู้จักท่านนึง แกเล่าว่า ในเส้นทางสายวิศวกรที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน มีจุดหนึ่งที่แกสงสัยว่า ตัวเองกำลังเดินทางมาถูกเส้นทางหรือเปล่า เพราะหัวหน้าแกที่แกเคารพรัก หัวหน้าผู้เก่งกาจและทำงานหนักไม่แพ้ใคร กลับยังคงมีตำแหน่งอยู่แค่ Department Manager หรือผู้จัดการแผนก หากแต่เพื่อนร่วมรุ่นกับเขา เพื่อนที่จบวิศวกรรมมาด้วยกัน เข้างานมาด้วยกัน แต่เมื่อทำงานไปสักพักแล้วเลือกย้ายไปอยู่ฝั่งการตลาด ในวันนี้ วันเวลาทำงานที่เท่ากัน เขากลับอยู่ตรงจุดที่สูงมาก ในตำแหน่ง Executive Vice President เรียกว่ารองจากผู้นำสูงสุดแค่ 2 – 3 ลำดับ และสูงกว่าเพื่อน 3 – 4 ขั้นเลยทีเดียว เมื่อสงสัยก็เลยถาม หัวหน้าครับ เรายังคงเดินมาถูกทางไหม
คำตอบในวันนั้นช่างเรียบง่าย หัวหน้าผู้อดทนบอกว่า โอกาสของคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน หน้าที่ของเราคือก้มหน้าทำงานที่เรารัก ที่เราถนัด อย่างอดทน และเมื่อโอกาสของเรามาถึง เราก็แค่ไขว่คว้ามันเอาไว้ ก็เท่านั้น มันฟังดูดีแน่ ถ้าคนพูดอยู่ในจุดที่สูง แต่ในวันนั้น เขาพูดในจุดที่ไม่ได้สูง มันเลยทำให้คนฟังสงสัยว่า สิ่งที่พูด มันเชื่อถือได้หรือเปล่า หรือเขาเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต ไม่กล้าเสี่ยง ไม่ลุย ไม่แลก
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป การวิ่งอย่างต่อเนื่องร่วมสามสิบปีก็เห็นผล เขาก้าวขึ้นมาในตำแหน่ง C – level ซึ่งสูงกว่าเพื่อนของเขา ในขณะที่เพื่อนของเขานั้น ลาออกไปแล้ว เนื่องจากไม่สามารถไต่เต้าขึ้นไปได้สูงกว่าเดิมอีกต่อไป ณ ตรงนี้ คำพูดของเขาดูน่าฟังขึ้นมาแล้วใช่หรือเปล่าครับ
ผมยอมรับเลยว่า ในวัยที่อายุยังขึ้นต้นด้วยเลขสอง มันดูไม่เท่เลยที่จะบอกว่า เราคือเผ่าพันธุ์ที่สามารถวิ่งได้อย่างยาวนานที่สุด หรือจะบอกว่า หากคุณมาแข่งกับผม คุณต้องวิ่งจนกว่าผมจะตาย หรือไม่คุณก็ต้องยอมแพ้ไปก่อน เพราะในวัยนั้น ผมต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องการวิ่งนาน แต่ต้องการวิ่งระยะสั้นให้เร็วที่สุด อยากเข้าเส้นชัยเร็วๆ เห็นผลงานตัวเองเร็ว หากคุณแข่งกับผม ผมจะวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อเอาชนะคุณ แต่หากไม่ชนะในระยะเวลาอันสั้น ผมก็จะเลิกแข่ง ในวัยนั้น มันเป็นแบบนั้น
แต่พออายุเยอะขึ้น เข้าใกล้เลขสี่ ผมกลับรู้สึกภูมิใจ ที่มนุษย์เราสามารถระบายความร้อนภายในได้ดี จนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่วิ่งได้นานขนาดนี้ และแท้ที่จริงการทำงานรวมไปถึงการใช้ชีวิตก็ไม่ต่างกัน หากคุณสามารถระบายความรุ่มร้อนภายในตัวเอง ความรุ่มร้อนเช่น ความอิจฉาริษยาเวลาที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่า ความน้อยเนื้อต่ำใจเวลาเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ ความอึดอัดในฐานะทางสังคมรวมไปถึงฐานะอันต่ำต้อยของครอบครัว หากคุณระบายมันได้ดี อดทนกับมันได้มากกว่าคนอื่น รักษาสมดุลในตัวเองได้ รวมไปถึงกระตุ้นเร้าให้พลังใจและพลังกายยังคงดี ยังคงวิ่งไล่ล่าความสำเร็จได้อยู่เสมอ ผมเชื่อว่า จะเร็วจะช้า คุณก็จะไปได้ไกล ผมไม่รู้ว่าจะไกลกว่าคนอื่นหรือเปล่า แต่มันก็จะไกลเท่าที่คุณพอใจ
ถ้าตอนนี้ คุณกำลังอยู่บนจุดเริ่มต้นของการแข่งขัน ไม่ว่าจะในหน้าที่การงานหรือชีวิต มองไปที่คู่แข่งของคุณ บอกพวกเขาด้วยเสียงที่ดังก้องในใจคุณว่า คุณอาจจะวิ่งไม่เร็ว แต่สิ่งที่แน่นอนคือ คุณจะวิ่งไม่หยุด … แล้วเจอกันที่เส้นชัยนะครับ
เราเรียนกันมาตั้งแต่เด็กว่าถ้าพูดถึงการวิ่งในหมู่สัตว์บก เราต้องนึกถึงเสือชีต้า ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติวิ่งเร็วที่สุดในโลก ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถวิ่งได้นานสักเท่าไรนัก และสัตว์กินพืชจำพวกกวางที่เป็นเหยื่อ ก็มักจะเสียชีวิตเพราะวิ่งหนีไม่ทันในช่วงเวลาสั้นๆ หากแต่ถ้าหนีรอดไปได้เพียงแค่พักเดียว ก็มักจะรักษาชีวิตไว้ได้ เพราะวิ่งไม่นาน เจ้าพวกเสือจ้าวความเร็วก็หอบหายใจไม่ทันเสียแล้ว
อีกตัวที่เราน่าจะนึกถึงกันก็คือม้า ม้ามีทั้งความเร็ว แถมยังมีความอึด แต่ถ้าเราเคยดูในหนังก็คงจะจำกันได้ว่า ขี่ไปได้สักพัก เหล่าจอมยุทธ์ก็ต้องลงจากหลังม้า เพื่อให้ม้าตัวเก่งได้พักบ้าง หลังจากนั้นจึงวิ่งกันต่อไปได้
จะว่าไปสัตว์หลายประเภทมีขาที่แข็งแรงกว่าเรา สังเกตได้ง่ายจากการที่เรายืนกันได้ไม่นาน ก็จำเป็นต้องนั่งบ้าง เพราะมันเมื่อยขาแสนจะทานทน แต่สัตว์สี่ขาหลายตัวไม่จำเป็นต้องนั่ง เผลอๆเวลานอนก็ยังยืนหลับอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น ความแข็งแรงของขา ไม่ใช่ส่วนประกอบสำคัญที่เป็นตัวกำหนดว่าเผ่าพันธุ์ไหนควรจะวิ่งได้นาน แน่นอนเราไม่อาจจะพูดเรื่องความเข้มแข็งของหัวจิตหัวใจได้ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเสือ ม้า แม้กระทั่งหมา แมว ตัวไหนมีหัวจิตหัวใจเป็นอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ กระบวนการระบายความร้อนในร่างกายต่างหาก
ว่ากันว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่มีเหงื่อ และแน่นอนเราระบายเหงื่อและความร้อนออกมาทางรูขุมขน ซึ่งสัตว์ชนิดอื่นไม่มี และไม่สามารถทำแบบนี้ได้ เพราะฉะนั้นหากมันยังคงฝืน ตะบี้ตะบันวิ่ง ภายในร่างกายมันอาจจะเกิดความร้อนมากจนอวัยวะภายในมันไม่สามารถทนทานได้ คล้ายกับที่สมัยก่อนเราเชื่อกันว่าถ้าวิ่งเร็วหรือนานเกินไป ตับเราอาจจะแตกระเบิด และก็เสียชีวิตลงได้ แต่ในปัจจุบันเราก็ทราบกันแล้วว่า หากมีการฝึกซ้อมที่ดี พักผ่อนดี กินอาหารดี วางแผนมาอย่างดี เราก็สามารถวิ่งอย่างต่อเนื่อง หรือบางคนอาจจะสลับเดินบ้าง ในงานวิ่งมาราธอนเราก็จะเห็นว่าได้ 4 – 6 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเวลาที่สัตว์ชนิดอื่นอาจจะทำได้แค่ใฝ่ฝันถึง
และด้วยคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ทำให้บรรพบุรุษเรามีชีวิตรอดได้ เพราะเราไม่มีความแข็งแรงหรืออาวุธที่ธรรมชาติให้เรามาเหมือนเขี้ยว เขา หรือกรงเล็บต่างๆ ที่พอจะล่าสัตว์อื่นได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือวิ่งไล่มันจนกระทั่งมันทนไม่ไหว ยอมแพ้ หยุดวิ่ง ยอมให้เราจับไปกินแต่โดยดี ก็ลองคิดดูสิครับว่าถ้าวิ่งไล่กัน ในหลักชั่วโมง ใครมันจะไปสู้เราได้ แค่คิดก็เหนื่อยแทนมันเสียแล้ว
แต่แน่นอน นั่นมันคืออดีตครับ พอคนเราวิวัฒนาการมาถึงจุดที่สบายอย่างถึงที่สุด คือเมื่อก่อนเราอาจจะยังจำเป็นต้องเดินไปร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารตามสั่ง เพื่อให้ได้ของกินมาประทังชีวิต คือลดจากการวิ่งหลายสิบกิโล เป็นชั่วโมงๆ มาเป็นเดินไม่เกินหนึ่งกิโลเมตร ด้วยเวลาสบายๆ แต่ปัจจุบันเราทำแค่เพียงหยิบโทรศัพท์มา แล้วสักพักก็จะมีคนเอาอาหารมาส่งให้ถึงหน้าบ้าน ลองคิดดูสิครับว่า เราจะอ่อนแอไปมากขนาดไหน
ถึงแม้ปัจจุบันการวิ่งออกกำลังกายจะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่มันก็ยังเกิดขึ้นกับคนที่มีเวลา มีฐานะเพียงพอที่จะไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ และมีความชื่นชอบ หรือมีทัศนคติที่อยากจะดูแลตัวเองให้สุขภาพแข็งแรง รวมไปถึงคนที่อยากจะแสดงออกใน social network ด้วย ซึ่งแน่นอน ทั้งหมดนี้ ถ้านับรวมประชากรทั้งประเทศ ก็คงมีไม่เท่าไร จะเยอะแค่ในเมืองหลวงเพียงเท่านั้น
เมื่อทุกอย่างได้มาโดยง่าย ง่ายขึ้นเรื่อยๆ และง่ายขึ้นอีกในโลกยุคดิจิตอลนี้ มันทำให้มนุษย์เราค่อยๆสูญเสียคุณสมบัติข้อนี้ไปทีละน้อย เราอดทนน้อยลง พยายามน้อยลง จดจ่ออยู่กับเป้าหมายได้น้อยลง และลงมือทำอย่างต่อเนื่องได้สั้นลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะถึงแม้จะทำทุกสิ่งเบาบางลงไป แต่หลายครั้ง มันก็ยังเพียงพอให้เราเลี้ยงชีวิตเราได้
ผมเคยอ่านคำพูดของวิล สมิธ ที่บอกว่า เขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถน้อย แต่สิ่งที่เขามีคือความอดทนไม่ย่อท้อ เขาบอกว่าหากใครต้องการแข่งกับเขาในเส้นทางที่เขาเลือก หนทางนั้นมีเพียงแค่สองทาง หนึ่งคือคุณยอมแพ้ และสองคือ เขาตายคาสนามแข่ง เพราะ..แน่นอน เขาไม่มีทางยอมแพ้ ถ้าคุณจะชนะเขา คุณต้องอดทนทำมันไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะตายนั่นเอง วิล สมิธบอกว่าเขาเป็นคนแบบนั้น เป็นคนที่ไม่มีทางออกจากสนามแข่งหากยังไม่ได้รับชัยชนะ หรือความตาย อย่างใดอย่างหนึ่ง
ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ใช่แค่วิล สมิธหรอก แต่ในอดีต เราทุกคนเป็นแบบนั้น
ผมเคยฟังเรื่องราวของผู้บริหารที่รู้จักท่านนึง แกเล่าว่า ในเส้นทางสายวิศวกรที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน มีจุดหนึ่งที่แกสงสัยว่า ตัวเองกำลังเดินทางมาถูกเส้นทางหรือเปล่า เพราะหัวหน้าแกที่แกเคารพรัก หัวหน้าผู้เก่งกาจและทำงานหนักไม่แพ้ใคร กลับยังคงมีตำแหน่งอยู่แค่ Department Manager หรือผู้จัดการแผนก หากแต่เพื่อนร่วมรุ่นกับเขา เพื่อนที่จบวิศวกรรมมาด้วยกัน เข้างานมาด้วยกัน แต่เมื่อทำงานไปสักพักแล้วเลือกย้ายไปอยู่ฝั่งการตลาด ในวันนี้ วันเวลาทำงานที่เท่ากัน เขากลับอยู่ตรงจุดที่สูงมาก ในตำแหน่ง Executive Vice President เรียกว่ารองจากผู้นำสูงสุดแค่ 2 – 3 ลำดับ และสูงกว่าเพื่อน 3 – 4 ขั้นเลยทีเดียว เมื่อสงสัยก็เลยถาม หัวหน้าครับ เรายังคงเดินมาถูกทางไหม
คำตอบในวันนั้นช่างเรียบง่าย หัวหน้าผู้อดทนบอกว่า โอกาสของคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน หน้าที่ของเราคือก้มหน้าทำงานที่เรารัก ที่เราถนัด อย่างอดทน และเมื่อโอกาสของเรามาถึง เราก็แค่ไขว่คว้ามันเอาไว้ ก็เท่านั้น มันฟังดูดีแน่ ถ้าคนพูดอยู่ในจุดที่สูง แต่ในวันนั้น เขาพูดในจุดที่ไม่ได้สูง มันเลยทำให้คนฟังสงสัยว่า สิ่งที่พูด มันเชื่อถือได้หรือเปล่า หรือเขาเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิต ไม่กล้าเสี่ยง ไม่ลุย ไม่แลก
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป การวิ่งอย่างต่อเนื่องร่วมสามสิบปีก็เห็นผล เขาก้าวขึ้นมาในตำแหน่ง C – level ซึ่งสูงกว่าเพื่อนของเขา ในขณะที่เพื่อนของเขานั้น ลาออกไปแล้ว เนื่องจากไม่สามารถไต่เต้าขึ้นไปได้สูงกว่าเดิมอีกต่อไป ณ ตรงนี้ คำพูดของเขาดูน่าฟังขึ้นมาแล้วใช่หรือเปล่าครับ
ผมยอมรับเลยว่า ในวัยที่อายุยังขึ้นต้นด้วยเลขสอง มันดูไม่เท่เลยที่จะบอกว่า เราคือเผ่าพันธุ์ที่สามารถวิ่งได้อย่างยาวนานที่สุด หรือจะบอกว่า หากคุณมาแข่งกับผม คุณต้องวิ่งจนกว่าผมจะตาย หรือไม่คุณก็ต้องยอมแพ้ไปก่อน เพราะในวัยนั้น ผมต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องการวิ่งนาน แต่ต้องการวิ่งระยะสั้นให้เร็วที่สุด อยากเข้าเส้นชัยเร็วๆ เห็นผลงานตัวเองเร็ว หากคุณแข่งกับผม ผมจะวิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อเอาชนะคุณ แต่หากไม่ชนะในระยะเวลาอันสั้น ผมก็จะเลิกแข่ง ในวัยนั้น มันเป็นแบบนั้น
แต่พออายุเยอะขึ้น เข้าใกล้เลขสี่ ผมกลับรู้สึกภูมิใจ ที่มนุษย์เราสามารถระบายความร้อนภายในได้ดี จนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่วิ่งได้นานขนาดนี้ และแท้ที่จริงการทำงานรวมไปถึงการใช้ชีวิตก็ไม่ต่างกัน หากคุณสามารถระบายความรุ่มร้อนภายในตัวเอง ความรุ่มร้อนเช่น ความอิจฉาริษยาเวลาที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่า ความน้อยเนื้อต่ำใจเวลาเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ ความอึดอัดในฐานะทางสังคมรวมไปถึงฐานะอันต่ำต้อยของครอบครัว หากคุณระบายมันได้ดี อดทนกับมันได้มากกว่าคนอื่น รักษาสมดุลในตัวเองได้ รวมไปถึงกระตุ้นเร้าให้พลังใจและพลังกายยังคงดี ยังคงวิ่งไล่ล่าความสำเร็จได้อยู่เสมอ ผมเชื่อว่า จะเร็วจะช้า คุณก็จะไปได้ไกล ผมไม่รู้ว่าจะไกลกว่าคนอื่นหรือเปล่า แต่มันก็จะไกลเท่าที่คุณพอใจ
ถ้าตอนนี้ คุณกำลังอยู่บนจุดเริ่มต้นของการแข่งขัน ไม่ว่าจะในหน้าที่การงานหรือชีวิต มองไปที่คู่แข่งของคุณ บอกพวกเขาด้วยเสียงที่ดังก้องในใจคุณว่า คุณอาจจะวิ่งไม่เร็ว แต่สิ่งที่แน่นอนคือ คุณจะวิ่งไม่หยุด … แล้วเจอกันที่เส้นชัยนะครับ