"มืออาชีพ"
Professional
เสาร์ที่แล้วผมมีโอกาสได้ไปทำภารกิจที่เรียกว่าเป็น “ครั้งแรกในชีวิต” มาหนึ่งชิ้นถ้วนครับ ที่ตัดสินใจรับงานนี้ทั้งที่ไม่ค่อยมั่นใจก็เพราะว่าเป็นน้องที่สนิทกันขอร้องมา เขาให้เหตุผลว่างานนี้เป็นส่วนหนึ่งในวันสำคัญของชีวิตเขา อยากให้เราไปช่วย ซึ่งเขาไว้ใจและมั่นใจว่าเราจะทำได้ ฟังดูสิ่งที่เขาพูด รวมถึงภาษากายเขา รู้สึกเหมือนว่าเขาจะมั่นใจมากกว่าตัวเราเองเสียด้วยซ้ำ และงานที่ว่านั่นก็คือ “การเป็นพิธีกรงานแต่ง” นั่นเองครับ
ผมเคยเป็นพิธีกรมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของงานสัมมนา ทั้งในแบบที่พูดคนเดียวและ 70% พูดตามสคริปต์ รวมไปถึงงานสัมภาษณ์แขกรับเชิญที่มีคำถามที่เตรียมไว้ส่วนหนึ่ง และก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปตามสถานการณ์อีกส่วนหนึ่ง คิดทบทวนไปก็แปลกดีเหมือนกันที่ตลอดเส้นทางนั้น ผมไม่เคยเป็นพิธีกรงานแต่งเลยสักครั้ง และเมื่อมองย้อนกลับไป ทุกอย่างมีเหตุผลของมันครับ เพราะจะว่าไปแล้ว ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้การเป็นพิธีกรงานแต่งกับผมนั้นเหมือนเส้นขนานก็คงเป็นเพราะว่า ด้วยความเชื่อส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อยอินกับการแต่งงานเท่าไรครับ โดยเฉพาะการจัดงานช่วงเย็นใหญ่โตเหมือนที่นิยมกันอยู่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่ก็เคารพการตัดสินใจของทุกฝ่ายนะครับ เพราะหลายคนก็อยากให้วันแห่งความทรงจำนี้ เป็นวันที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี และเลือกทำในสิ่งที่จะไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้วในชีวิต ถือเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ทั้งที่เราทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่า ท้ายที่สุดแล้วสิ่งนี้ไม่ได้มีผลอะไรเลยกับชีวิตคู่ (ในมุมมองของผมคนเดียวนะครับ) อีกทั้งในช่วงเวลาที่ทัศนคติไม่ตรงกัน เริ่มจะไม่สามารถใช้ชีวิตไปด้วยกันได้นั้น งานแต่งงานยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่เคยที่จะรั้งคนสองคนอยู่ได้เลยสักครั้ง แต่ก็นั่นล่ะครับ คงไม่มีใครจัดงานแต่งงานโดยคิดถึงวันแห่งการเลิกราอยู่แล้ว ในช่วงเวลาแห่งความสุขอันหอมหวาน ก็ดูจะใจร้ายไปหน่อยหากใครจะไปพูดแบบนั้นกับบ่าวสาว และด้วยเหตุนี้ ก็เลยทำให้ถ้าไม่ได้สนิทกันจริงๆ ผมจะไปงานแต่งงานน้อยมาก ยิ่งอายุเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ก็ยิ่งเฉยชาไปมากเท่านั้น จนบางทีก็ดูจะเป็นคนผิดปกติไปสักหน่อย แต่อย่างไรงานนี้ก็ต้องไปครับ เพราะรับปากบ่าวสาวไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง
เนื่องจากผมตกลงรับงานไว้หลายเดือนก่อนที่จะถึงเวลา ก็เลยไม่ได้มีการซักซ้อมอะไรล่วงหน้าแต่อย่างใด ตั้งใจว่าจะขอสคริปต์จากผู้จัดงานสักหนึ่งสัปดาห์ล่วงหน้า แล้วค่อยมาเตรียมตัวก็น่าจะทัน เพราะพิธีการบนเวทีนั้นจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าพอจะท่องบทกันได้ทันอยู่ และเราอาจจะไม่จำเป็นต้องพูดตามทั้งหมดครับ อาจจะปรับให้เป็นสไตล์เราเองมากขึ้น แต่สิ่งที่ผมกังวลก็คือ เนื่องจากผมพึ่งจะได้เป็นพิธีกรงานแต่งเป็นครั้งแรก ผมจึงไม่มีสไตล์ของตัวเอง (ฮา) ก็เลยอาจจะต้องท่องบทไปให้พร้อมสักหน่อย จะได้ไม่มีจังหวะเงียบหรือ dead air เกิดขึ้นนั่นเอง
ท้องฟ้าไม่เคยจะสวยงามในทุกวันฉันใด เหตุการณ์ในชีวิตผมก็เป็นฉันนั้น อยู่ดีๆผมก็มีสองปัจจัยที่ทำให้ต้องกังวลกับงานใหม่นี้มากกว่าเดิมจากที่กังวลอยู่แล้วพอสมควร อย่างแรกคือผมมีงานใหญ่ที่จะต้อง pitching หรือพูดพรีเซนต์เสนอไอเดียของตัวเองให้กับคณะกรรมการ อารมณ์เดียวกับที่ founder ของ startup นำเสนอผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้กับนักลงทุนนั่นล่ะครับ เนื่องจากมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย และผู้ฟังอีกเกือบสามร้อยคน ทำให้ผมต้องใช้เวลาปรับปรุง slide presentation รวมไปถึงเตรียมการนำเสนออยู่สามวันสามคืน ข่าวดีคือผมนำเสนอในวันอังคาร และแน่นอนครับ การเป็นพิธีกรงานแต่งก็จะเกิดขึ้นในวันเสาร์ ผมจะมีเวลาซ้อมเต็มที่ก็คือสามวัน พุธ – ศุกร์ แต่พอเอาจริงๆด้วยความอ่อนล้าจากการอดหลับอดนอน รวมถึงความเครียดที่เกิดขึ้น กว่าที่ผมจะได้เตรียมตัวจริงๆ ก็เป็นค่ำๆวันพฤหัสแล้วล่ะครับ
ปัจจัยที่สองก็คือ ในงานแต่งนั้นส่วนใหญ่พิธีกรก็จะไม่ได้เป็นพิธีกรเดี่ยวครับ แต่จะเป็นคู่ชายหญิง ซึ่งจากที่สอบถามนั้นมันยังไม่ลงตัวมาโดยตลอด ว่าฝ่ายหญิงจะเป็นใคร มีการสลับสับเปลี่ยนกันในหมู่เพื่อนเจ้าสาวอยู่หลายครั้ง ซึ่งผมก็ไม่ได้กังวลอะไรว่าใครจะมาเป็น และคิดว่าเตรียมกันก่อนขึ้นเวทีสักชั่วโมงเดียวก็น่าจะพอได้ แต่แล้วด้วยความไม่ลงตัวเหล่านั้น บ่าวสาวก็เลยตัดสินใจใช้พิธีกรหญิงมืออาชีพไปเลย เพื่อจะจบปัญหานี้ และการตัดสินใจครั้งนั้นของบ่าวสาว ก็สร้างปัญหาใหม่ให้ผมโดยทันที จากที่ตื่นเต้นอยู่ประมาณนึงแล้ว ก็ตื่นเต้นยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า เพราะรู้แล้วว่า คนที่จะขึ้นด้วยนั้นคือมืออาชีพ ในขณะที่ผมคือครั้งแรก โอกาสตายคาเวทีนั้นสูงมาก แต่ถึงกระนั้นผมก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะรับปากไปแล้ว และยังต้องเตรียมงานที่จะนำเสนอในวันอังคารก่อน ถัดจากนั้นจึงค่อยไปกังวลกับงานแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในวันเสาร์นั่นเอง
และแล้วงาน pitching วันอังคารก็ผ่านไปด้วยดีครับ ทีมผมได้รางวัลที่สอง จากเกือบสี่สิบทีมที่เข้าประกวดทั้งหมด และถูกคัดเลือกให้นำเสนอในวันนั้นทั้งหมดเก้าทีมด้วยกัน ผมตื่นเต้นจนเรียกได้ว่านอนหลับไม่เต็มตาในคืนวันก่อนหน้าที่จะถึงงาน แต่แปลกดีที่หลังจากงานนั้นจบ ผมกลับไม่มีอาการตื่นเต้นใดๆหลงเหลืออยู่เลย ทั้งที่การเป็นพิธีกรงานแต่งนั้นเป็นครั้งแรก แถมต้องขึ้นเวทีกับมืออาชีพด้วย ร่างกายของผมมันทำราวกับว่า ความตื่นเต้นนั้นได้ถูกใช้ไปในงานก่อนหน้าทั้งหมดแล้ว
เมื่อวันเสาร์มาถึง ตอนแรกผมวางแผนว่าจะไปถึงงานเร็วหน่อยเพื่อไปเตรียมตัวกับพิธีกรคู่ ท่องบท รวมถึงพูดคุยกับบ่าวสาว แต่สุดท้ายกลับทำไม่ได้อย่างที่คิด ด้วยภารกิจก่อนหน้าในช่วงเช้าถึงกลางวัน และรถที่ติดเหลือเกินในมหานครแห่งนี้ ผมจึงไปถึงงานหกโมงเย็น โดยกำหนดการนั้นต้องขึ้นเวทีหนึ่งทุ่มตรง อย่างแรกที่ผมทำในตอนไปถึงคือพยายามตามหาพิธีกรที่จะขึ้นคู่กันนั่นเอง และเมื่อเจอพี่สาวท่านนี้ ผมก็รู้เลยว่า คำว่า “มืออาชีพ” นั้นเป็นอย่างไร
ผมเริ่มตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ปริมาณก็น้อยจนน่าแปลกใจ เพราะปกติผมจะเป็นคนตื่นเต้นง่าย ไม่ว่าจะทำอะไรหรือขึ้นเวทีไหน ผมก็จะตื่นเต้นมากอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำมันมากี่ครั้งแล้วก็ตาม แต่ในขณะที่พูดคุยกันนั้น ผมสัมผัสไม่ได้ถึงความตื่นเต้นของพิธีกรสาวท่านนี้เลย แถมสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอก็คือ เธอยังเป็น organizer หลัก และเป็นคนสั่งการทั้งหมดในการจัดงานแต่งงานครั้งนี้ด้วย ซึ่งเธอทำทั้งในตอนอยู่ข้างเวที และบนเวทีช่วงที่ไฟมืดลง
ในขณะที่ซ้อมกันข้างเวที ผมเห็นน้ำเสียงของเธอ การออกเสียง ตัวสะกด คำควบกล้ำ รวมถึงจังหวะจะโคนทุกอย่าง ทำให้ผมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้เรียนรู้จากมืออาชีพ ในระหว่างคุยกันผมถามเธอว่า ประมาณกี่เวทีแล้วที่เธอผ่านงานนี้มา เธอตอบง่ายๆว่าจำไม่ได้ แต่น่าจะเกินร้อย ในใจผมอดคิดไม่ได้ว่า “เกินร้อย” กับ “ครั้งแรก” ไม่ใกล้กันเลยสักนิด
และแล้วเมื่อถึงเวลา ผมก็ขึ้นไปทำหน้าที่บนเวทีแห่งนั้น ทำให้ดีที่สุด ให้สมกับที่น้องชายไว้ใจ ผมรู้ตั้งแต่แรกๆว่าไม่สามารถพูดได้คล่องและพลิ้วไหวเหมือนพี่สาวที่ยืนข้างๆ แต่ผมก็พยายามทำให้ดีที่สุด มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่ผมต้องเรียนรู้ และถ้าให้คะแนนตัวเอง ผมน่าจะทำได้ดีพอสมควร ถ้าวัดว่าเป็นมาตรฐานของคนที่พึ่งทำงานนี้ครั้งแรก แต่หากเทียบกับว่าเคยขึ้นเวทีอื่นมาพอสมควร ก็ต้องถือว่าไม่ได้น่าพอใจมากมายอะไร และพูดได้เลยว่า หากต้องขึ้นเวทีกับมือใหม่ด้วยกัน เราสองคนอาจจะจับมือกันพังงานแต่งงานนั้นได้เลยทีเดียว แต่วันนี้เรารอดมาได้อย่างงดงาม ซึ่งสำหรับผม เครดิตทั้งหมดต้องยกให้เธอ พี่สาวซึ่งเป็นพิธีกรงานแต่งมืออาชีพคนแรกที่ผมได้รู้จัก
เมื่อช่วงเวลาตื่นเต้นอันยาวนานบนเวทีจบสิ้นลง ผมถามเธอว่า มีอะไรที่ผมควรจะเรียนรู้และปรับปรุงหรือไม่ หากจะเป็นพิธีกรงานแต่งที่ดีขึ้น หรือดีแบบเธอ เธอบอกว่าถ้าเทียบว่าเป็นครั้งแรก ก็ถือว่าดีมากแล้ว แค่สามารถรับส่งกันได้โดยไม่มีช่วงเงียบหรือตะกุกตะกัก ก็ต้องถือว่ายอดเยี่ยม เธอบอกว่าต่อไปคงมีคนมาชวนให้ไปเป็นเยอะแน่ๆ และแถมยังถามผมว่า รับงานไหม รับสิ จะหางานมาให้ ผมลองถามว่า เค้ารับกันที่เรทเท่าไหร่ครับ คำตอบที่ได้ ไม่มากไม่น้อย แต่ก็เป็นงานที่สบาย และได้มากกว่าค่าแรงขึ้นต่ำเป็นสิบเท่าเลยทีเดียว ทั้งที่ใช้เวลาบนเวที ทำงานจริงๆแค่ 1 ชั่วโมง
หลังลงจากเวที ผมมารับประทานอาหารที่โต๊ะและทักทายพูดคุยกับเพื่อนฝูงอีกสักหน่อย ก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน เพราะต้องรีบเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อร่วมงานบุญทอดกฐินที่ชลบุรีในคืนนั้นเลย ซึ่งในระหว่างที่กำลังขับรถกลับนั้น ผมก็ทบทวนและตกผลึกได้ว่า ผมมองเห็นทุกอย่างในตัวพิธีกรสาวมืออาชีพคนนี้ เธอมีความเป็นมืออาชีพ ช่ำชอง เชี่ยวชาญ แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี เรียกว่า เก๋า และ “เอาอยู่” อย่างแท้จริง รวมไปถึงประคองผมให้ไปได้ตลอดรอดฝั่งกับเธอด้วย แต่สิ่งเดียวที่ผมไม่เห็น ผมไม่รู้ว่าเธอไม่มีมันหรือว่าเธอซ่อนมันเอาไว้ แน่นอนผมไม่เห็นว่าเธอตื่นเต้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมไม่รู้ว่าเธอ “สนุก” กับ “งาน” นี้อยู่อีกหรือเปล่า
ถ้าถามถึงงานแรกที่เธอได้ขึ้นเวที ผมว่าเธอตอบได้อย่างแน่นอนว่างานไหน หากแต่งานที่เหลืออีกร้อยกว่างานเหล่านั้นเล่า เธอจำมันได้หรือเปล่า และงานวันนี้ที่เธอทำร่วมกับพิธีกรชายมือใหม่อย่างผม เธอจะลืมมันไปภายในกี่วัน
ผมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกับพี่สาวที่เคารพอีกท่านนึง ในเรื่องของความตื่นเต้นของผม ว่าทำไม เวลาจะพูดต่อหน้าสาธารณะชน ไม่ว่าจะทำงานไหน แม้จะเป็นงานที่เคยทำแล้ว ก็ยังตื่นเต้น จนบางทีก็รำคาญตัวเอง เธอให้ข้อคิดดีๆที่เธอได้รับมาจากอาจารย์ในวิชาชิพของเธออีกต่อนึง เธอบอกผมว่า บางครั้ง ความตื่นเต้นนั่นล่ะเป็นส่วนผสมสำคัญที่ทำให้งานชิ้นนั้นๆของเรา มีพลังงานที่แตกต่าง ที่สามารถส่งต่อลงไปให้กับผู้ชมได้ รวมไปถึงว่ามันอาจจะมีเสน่ห์บางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้ฟังหรือผู้ชมรักเรา โดยมีต้นเหตุมาจากพลังความตื่นเต้นเหล่านั้นก็เป็นได้
และในส่วนตัวเมื่องานจบลง ผมมีความสุขกับมันที่ข้ามผ่านมาได้ อีกทั้งระลึกและจดจำได้อยู่เสมอว่า งานที่ตื่นเต้นมากเท่าไร เมื่อเราข้ามผ่านมันไปได้ มันมักจะมีความหมายกับผมมากเท่านั้น
อย่าเข้าใจผิดว่าพิธีกรคู่ของผม เธอไม่มีเสน่ห์ ไม่มีพลังงานดีๆ รวมถึงไม่สนุก หรือไม่ตื่นเต้นกับงานนะครับ เสน่ห์และพลังงานนั้นเธอมีแน่ เพียงแต่ความสนุกและตื่นเต้นนั้นผมไม่เห็นเอง ซึ่งในหลายงานที่ผมทำมาจนชิน ผมก็มีความตื่นเต้นและสนุกน้อยลงมากเช่นกัน ไม่ว่าผมจะสอนคอร์สไหน ก็ไม่เคยตื่นเต้นเท่าคอร์สแรก ไม่ว่าจะออกหนังสือเล่มไหน ก็ไม่เคยสนุกเท่าเล่มแรก มนุษย์เราถูกออกแบบมาแบบนั้นครับ ความเคยชินจะทำให้เราไม่ตื่นเต้น ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียหากเราจะมองมัน
ผมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่รับงานนี้ และยังสามารถจะรับไปได้อีกหลายครั้งพอสมควร จนกว่าจะหายตื่นเต้นและไม่สนุกกับมัน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คนเราก็มีโอกาสจะได้ทำงานซ้ำๆในชีวิตของเราอยู่แล้ว แต่ความท้าทายเป็นอย่างยิ่งก็คือทำอย่างไรเราจะยังคงตื่นเต้นไปกับมัน ทำอย่างไรเราจะยังสนุกกับสิ่งที่ลงมือทำเหมือนเดิมในทุกๆวัน หลายปีต่อเนื่องกัน ทำอย่างไรจะมี original mind หรือจิตใจที่คล้ายกับวันที่เรามาทำงานชิ้นนั้นในวันแรกหรือครั้งแรกได้ ผมว่าตรงนี้คือเคล็ดลับสำคัญ
จบจากบทความนี้ ผมตั้งใจจะดูคุณสุทธิชัย หยุ่น สัมภาษณ์ผู้นำทางธุรกิจท่านต่อไป ซึ่งผมติดตามดูมาทุกตอนทาง YouTube ครับ ใครสนใจติดตามดูได้ ถ้าอยากจะเห็นในสิ่งที่ผมพูดถึงในบทความนี้ ผมมองเห็นความเป็นมืออาชีพ ความสนุก ความตื่นเต้น รวมไปถึงเห็นแววตาที่แสดง original mind ออกมาในทุกเทปที่ผมได้ดู ณ ตอนนี้คุณสุทธิชัย อายุ 74 แต่ยังคงทำงานหนักและออกสื่อทั้งสื่อใหม่ online รวมไปถึงสื่อเก่า offline แถมยังคงดูว่ามีพลังงานอย่างเหลือล้น
ถ้าขอพรได้ ผมอยากจะมีความสามารถเพิ่มขึ้น เชี่ยวชาญมากขึ้น แต่ยังคงตื่นเต้นเหมือนครั้งแรกในทุกๆงาน ขอบคุณและยินดีกับบ่าวสาว ที่มอบโอกาสและพลังงานใหม่ๆให้ผม รวมไปถึงขอบคุณพี่พิธีกรสาว ที่ทำให้ผมได้รู้ว่ามืออาชีพนั้นเป็นอย่างไร
ขอให้ทุกคนตื่นเต้น และปล่อยให้มันสร้างเสน่ห์ในงานทุกชิ้นของคุณนะครับ