เชื่อ บ้า กล้า ก้าว
หลังจากเพียรพยายามหาเวลาว่างให้ตัวเองมานาน ในที่สุดผมก็ได้ไปดู 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว
หนังที่ผมเตรียมใจไปก่อนแล้วว่าคงต้องเจอพายุแห่งอารมณ์ตลอดทั้งเรื่องแน่
ไม่ต้องคิดให้นานเกินไป เริ่มต้นเรื่องไม่เกิน 5 นาที น้ำตาของผมก็หล่นอย่างง่ายดาย
ผมเป็นคนออกกำลังกายบ้าง วิ่งทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละอย่างน้อย 2 วัน
มีว่ายน้ำบ้าง 2 วันเช่นกันถ้าทำได้ แต่เวลาวิ่ง ก็วิ่งแค่ 3 - 5 กิโลเมตร ไม่เคยเกินกว่านั้น
ด้วยเพราะรู้สึกว่ามันใช้เวลาเยอะเกินไป และไม่รู้สึกว่าอยากจะเอาชนะตัวเองอะไรแบบนั้น
บางทีผมก็สงสัย ว่าทำไมคนเราถึงต้องพยายามเอาชนะตัวเอง
เอาชนะข้อจำกัด หรือพยายามทดสอบว่าศักยภาพของเรามีแค่ไหน
หรือจริงๆมันคือสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์อยู่แล้วในการเอาชนะข้อจำกัดต่างๆ
อีกเรื่องนึงคือผมไม่เคยไปลงแข่งวิ่ง ไม่ว่าจะกี่กิโลเมตรก็ตาม
เพราะเป็นคนขี้เกียจตื่นเช้า และไม่ชอบวิ่งร่วมกับใคร (แปลกไหม)
แต่เหตุผลสำคัญกว่านั้นคือ ไม่รู้จะทำไปทำไม
และผมก็มาเข้าใจเรื่องนี้ ในระหว่างดูหนังของพี่ตูนนี่เอง
พี่ตูน ผู้ที่กลายเป็นเหมือน พี่เบิร์ด พี่โน๊ต อุดม
เป็นบุคคลผู้ที่คนทั้งประเทศรู้สึกอยากจะมีชีวิตต่อไป
หากได้พบ ได้เจอ ได้คุย หรือได้กอดสักครั้ง
หลายคนคงรู้และคาดเดาได้ว่า ในสมัยวัยรุ่น ความฝันสูงสุดของพี่ตูนคืออะไร
และผมเชื่อว่า ชื่อของตูน บอดี้สแลม ก็บ่งบอกได้ทุกอย่างแล้ว
ว่าเขาประสบความสำเร็จ และทำตามความฝันนั้นได้หรือไม่
เหตุผลเดียวกับที่ผมไม่เคยอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็ก
หรือตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะผมคิดเสมอว่า แล้วต่อจากนั้น
"ผมจะทำอะไรล่ะ"
เมื่อปีนเขาลูกที่อยากปีนที่สุดได้แล้ว ยืนอยู่บนนี้ก็นานแล้ว
"ผมจะทำอะไรต่อดี"
ตอนนี้ผมรู้แล้ว มันคือสิ่งที่พี่กบ บิ๊กแอส พูดไว้
มันคือการค้นพบภูเขาอีกลูกที่อยากปีนยังไงล่ะ
และสำหรับพี่ตูน ผมเชื่อว่า
"การวิ่งคือสิ่งนั้น"
แต่สิ่งที่พี่ตูนทำได้ดีกว่านั้น คือมันไม่ใช่การปีนภูเขาเพื่อตัวเอง
แต่มันกับกลายเป็นการปีนไปสู่ยอดเขา เพื่อคนอื่นไปด้วยพร้อมๆกัน
และนั่นทำให้ผมตกผลึกว่า ทำไมผมถึงไม่เคยคิดจะวิ่งให้ไกลขึ้นเพื่อเอาชนะตัวเอง
หรือลงแข่งวิ่ง และวิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมกับคนอื่น
เพราะเอาจริงๆผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาทำเพื่ออะไร
แต่สำหรับผม ผมคิดว่าถ้าผมจะทำ มันคือแค่ทำเพื่อเอาชนะตัวเอง
แต่ผมเป็นคนที่คิดว่า ผมรู้อยู่แล้วว่าตัวเองสามารถเอาชนะตัวเองได้
และมันถูกพิสูจน์มาหลายครั้งแล้ว
อีกทั้งด้วยการที่เคยเป็นนักกีฬา เคยวิ่งรอบสนามมาไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว
ก็เลยไม่รู้สึกอยากจะต่อสู้กับตัวเองแบบนั้นอีกแล้ว
แต่ผมคิดผิด คิดน้อย คิดแคบ
เพราะมันยังมีอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ทำให้คนมากมายลุกขึ้นมาวิ่ง
มันคือการสร้างแรงบันดาลใจ จุดไฟให้คนอื่นลุกขึ้นมาทำตาม
มาดูแลตัวเอง มาดูแลสุขภาพ
แบบที่พี่ตูนบอกไว้ว่า ถ้าทุกคนเห็นผมวิ่ง แล้วลุกขึ้นมาวิ่ง
มาดูแลสุขภาพ หมอกับพยาบาลก็จะทำงานน้อยลง
เพราะคนป่วยจะน้อยลง
ผมคิดแต่เรื่องตัวเอง ก็เลยตัดสินด้วยมุมมองเกี่ยวกับตัวเอง
และเมื่อดูหนังมาได้สักพัก ผมก็รู้เลยว่า การมีภูเขาลูกใหม่ให้ปีน
แถมยังสามารถหามุมที่ตอบโจทย์คุณค่าในตัวที่เรายึดถือได้ด้วย
มันเป็นช่วงเวลาที่อิ่มเอมขนาดไหน
เมื่อจินตนาการตาม ผมรู้เลยว่า การวิ่งเพื่อหาเงินช่วยเหลือโรงพยาบาล
น่าจะทำให้พี่ตูนรู้สึกว่า
ตัวเองสามารถนอนตายตาหลับได้เรียบร้อยแล้ว
ต้องพูดตามตรงว่าสำหรับผม ผมยังไม่เจอสิ่งนั้น
ยังไม่เจอภูเขาลูกใหม่ ยังไม่รู้วิธีผูกมันเข้ากับคุณค่าลึกซึ้งที่ผมยึดถือ
และแน่นอน ผมยังไม่พร้อมจะจากไป
ยังไม่เข้าใกล้การตายตาหลับเลยสักนิด
ที่น่าสนใจคือความรู้สึกแบบนี้
ทำให้ผมอยากจะตื่นเช้าขึ้นมาทุกวันเพื่อตามหามัน
บอกตามตรง ผมไม่รู้เลยว่ามันซ่อนอยู่ที่ไหน
แต่รู้อย่างเดียว ผมสนุกกับการตามหามันเหลือเกินในตอนนี้
ไม่รู้สิ บางทีพรุ่งนี้ตื่นมา
ผมอาจจะเจอสิ่งที่ผมเชื่อ
เจอสิ่งที่ผมบ้า
แล้วผมอาจจะกล้าที่จะก้าวไปหามันก็ได้
ใครจะรู้
แล้วคุณล่ะครับ เจอสิ่งที่คุณ เชื่อ บ้า กล้า ก้าว หรือยัง
หนังที่ผมเตรียมใจไปก่อนแล้วว่าคงต้องเจอพายุแห่งอารมณ์ตลอดทั้งเรื่องแน่
ไม่ต้องคิดให้นานเกินไป เริ่มต้นเรื่องไม่เกิน 5 นาที น้ำตาของผมก็หล่นอย่างง่ายดาย
ผมเป็นคนออกกำลังกายบ้าง วิ่งทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละอย่างน้อย 2 วัน
มีว่ายน้ำบ้าง 2 วันเช่นกันถ้าทำได้ แต่เวลาวิ่ง ก็วิ่งแค่ 3 - 5 กิโลเมตร ไม่เคยเกินกว่านั้น
ด้วยเพราะรู้สึกว่ามันใช้เวลาเยอะเกินไป และไม่รู้สึกว่าอยากจะเอาชนะตัวเองอะไรแบบนั้น
บางทีผมก็สงสัย ว่าทำไมคนเราถึงต้องพยายามเอาชนะตัวเอง
เอาชนะข้อจำกัด หรือพยายามทดสอบว่าศักยภาพของเรามีแค่ไหน
หรือจริงๆมันคือสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์อยู่แล้วในการเอาชนะข้อจำกัดต่างๆ
อีกเรื่องนึงคือผมไม่เคยไปลงแข่งวิ่ง ไม่ว่าจะกี่กิโลเมตรก็ตาม
เพราะเป็นคนขี้เกียจตื่นเช้า และไม่ชอบวิ่งร่วมกับใคร (แปลกไหม)
แต่เหตุผลสำคัญกว่านั้นคือ ไม่รู้จะทำไปทำไม
และผมก็มาเข้าใจเรื่องนี้ ในระหว่างดูหนังของพี่ตูนนี่เอง
พี่ตูน ผู้ที่กลายเป็นเหมือน พี่เบิร์ด พี่โน๊ต อุดม
เป็นบุคคลผู้ที่คนทั้งประเทศรู้สึกอยากจะมีชีวิตต่อไป
หากได้พบ ได้เจอ ได้คุย หรือได้กอดสักครั้ง
หลายคนคงรู้และคาดเดาได้ว่า ในสมัยวัยรุ่น ความฝันสูงสุดของพี่ตูนคืออะไร
และผมเชื่อว่า ชื่อของตูน บอดี้สแลม ก็บ่งบอกได้ทุกอย่างแล้ว
ว่าเขาประสบความสำเร็จ และทำตามความฝันนั้นได้หรือไม่
เหตุผลเดียวกับที่ผมไม่เคยอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็ก
หรือตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะผมคิดเสมอว่า แล้วต่อจากนั้น
"ผมจะทำอะไรล่ะ"
เมื่อปีนเขาลูกที่อยากปีนที่สุดได้แล้ว ยืนอยู่บนนี้ก็นานแล้ว
"ผมจะทำอะไรต่อดี"
ตอนนี้ผมรู้แล้ว มันคือสิ่งที่พี่กบ บิ๊กแอส พูดไว้
มันคือการค้นพบภูเขาอีกลูกที่อยากปีนยังไงล่ะ
และสำหรับพี่ตูน ผมเชื่อว่า
"การวิ่งคือสิ่งนั้น"
แต่สิ่งที่พี่ตูนทำได้ดีกว่านั้น คือมันไม่ใช่การปีนภูเขาเพื่อตัวเอง
แต่มันกับกลายเป็นการปีนไปสู่ยอดเขา เพื่อคนอื่นไปด้วยพร้อมๆกัน
และนั่นทำให้ผมตกผลึกว่า ทำไมผมถึงไม่เคยคิดจะวิ่งให้ไกลขึ้นเพื่อเอาชนะตัวเอง
หรือลงแข่งวิ่ง และวิ่งเข้าเส้นชัยพร้อมกับคนอื่น
เพราะเอาจริงๆผมไม่รู้ว่าคนอื่นเขาทำเพื่ออะไร
แต่สำหรับผม ผมคิดว่าถ้าผมจะทำ มันคือแค่ทำเพื่อเอาชนะตัวเอง
แต่ผมเป็นคนที่คิดว่า ผมรู้อยู่แล้วว่าตัวเองสามารถเอาชนะตัวเองได้
และมันถูกพิสูจน์มาหลายครั้งแล้ว
อีกทั้งด้วยการที่เคยเป็นนักกีฬา เคยวิ่งรอบสนามมาไม่รู้กี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว
ก็เลยไม่รู้สึกอยากจะต่อสู้กับตัวเองแบบนั้นอีกแล้ว
แต่ผมคิดผิด คิดน้อย คิดแคบ
เพราะมันยังมีอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ทำให้คนมากมายลุกขึ้นมาวิ่ง
มันคือการสร้างแรงบันดาลใจ จุดไฟให้คนอื่นลุกขึ้นมาทำตาม
มาดูแลตัวเอง มาดูแลสุขภาพ
แบบที่พี่ตูนบอกไว้ว่า ถ้าทุกคนเห็นผมวิ่ง แล้วลุกขึ้นมาวิ่ง
มาดูแลสุขภาพ หมอกับพยาบาลก็จะทำงานน้อยลง
เพราะคนป่วยจะน้อยลง
ผมคิดแต่เรื่องตัวเอง ก็เลยตัดสินด้วยมุมมองเกี่ยวกับตัวเอง
และเมื่อดูหนังมาได้สักพัก ผมก็รู้เลยว่า การมีภูเขาลูกใหม่ให้ปีน
แถมยังสามารถหามุมที่ตอบโจทย์คุณค่าในตัวที่เรายึดถือได้ด้วย
มันเป็นช่วงเวลาที่อิ่มเอมขนาดไหน
เมื่อจินตนาการตาม ผมรู้เลยว่า การวิ่งเพื่อหาเงินช่วยเหลือโรงพยาบาล
น่าจะทำให้พี่ตูนรู้สึกว่า
ตัวเองสามารถนอนตายตาหลับได้เรียบร้อยแล้ว
ต้องพูดตามตรงว่าสำหรับผม ผมยังไม่เจอสิ่งนั้น
ยังไม่เจอภูเขาลูกใหม่ ยังไม่รู้วิธีผูกมันเข้ากับคุณค่าลึกซึ้งที่ผมยึดถือ
และแน่นอน ผมยังไม่พร้อมจะจากไป
ยังไม่เข้าใกล้การตายตาหลับเลยสักนิด
ที่น่าสนใจคือความรู้สึกแบบนี้
ทำให้ผมอยากจะตื่นเช้าขึ้นมาทุกวันเพื่อตามหามัน
บอกตามตรง ผมไม่รู้เลยว่ามันซ่อนอยู่ที่ไหน
แต่รู้อย่างเดียว ผมสนุกกับการตามหามันเหลือเกินในตอนนี้
ไม่รู้สิ บางทีพรุ่งนี้ตื่นมา
ผมอาจจะเจอสิ่งที่ผมเชื่อ
เจอสิ่งที่ผมบ้า
แล้วผมอาจจะกล้าที่จะก้าวไปหามันก็ได้
ใครจะรู้
แล้วคุณล่ะครับ เจอสิ่งที่คุณ เชื่อ บ้า กล้า ก้าว หรือยัง