เดี่ยว 12
เหม่อมองฟ้าคืนนี้
แสงดาวเรียงรายสวยเด่น
แต่ใจฉันคืนนี้ สุดแสนลำเค็ญหม่นหมาง
ค่ำคืนนั้นได้กอดกระซิบ แนบชิดเคียงข้าง
แต่คืนนี้เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง ระทมอ่อนใจ
*สุดเหงา ลมโชยมาหนาวสั่น
ยังคิดถึงคืน ยามแสนชื่นไม่หาย
ยากจะหา รักใดแทนนั้นได้
สุขนั้นลอยไป เลือนลางลับตา
เสียงเพลง ดาวประดับใจ ของคุณดอน สอนระเบียบ
ดังก้องกังวานอยู่ในหัว
มันอาจจะไม่ได้เพราะมากนัก แต่ก็เต็มไปด้วยความหมาย
ผมนั่งฟังเพลงนี้อยู่ในงาน "เดี่ยว 12" ของพี่โน๊ต อุดม
ที่ทุกคนคงรู้จักกันดี
จะว่าไปคนอายุ 30 - 60 ในประเทศไทย
คงหาคนที่ไม่รู้จักพี่โน๊ตได้ยากพอสมควรเหมือนกันนะครับ
จริงๆแล้วถ้าย้อนความกันไป
ผมอยากดูการแสดง one standup comedy นี้มาตั้งแต่เดี่ยว 1
ซึ่งเริ่มต้นในปี 2538
แต่จะด้วยวัย ความสนใจ ฐานะ หรืออะไรก็ตาม
ผมทำได้เพียงดูผ่านวิดีโอหรือซีดี อยู่ที่บ้าน
จนกระทั่งปี 2561 นี้
ผมจึงได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งครั้งแรกในมหรสพเดี่ยวอันยาวนาน
23 ปีที่รอคอย นับเป็นเวลาที่ยาวนาน
ถึงกระนั้นในความรู้สึกของพี่โน๊ต
มันคงยาวนานกว่าผมมากนัก
ถึงแม้จะดูที่บ้านมาตลอด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่า
เมื่อวานพี่โน๊ตดูเหนื่อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ความชราของร่างกายไม่เคยปราณีใครอยู่แล้ว
แต่ผมรู้สึกว่ายังโชคดีเหลือเกินที่แววตาของเขายังคงฉายแวววิบวับอยู่บ้าง
แต่ไม่รู้สิ จะด้วยหลายอย่างประกอบกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมรู้สึกว่า
ตำนานของเดี่ยวไมโครโฟนคนเดียวของเมืองไทยมันเหมือนใกล้จะจบลงแล้ว
หากความอ่อนล้ามาพร้อมกับการหมดความท้าทาย
บางที เราอาจจะได้เห็นโน๊ต อุดมบนเวทีของตัวเองอีกแค่ 1 หรือ 2 ครั้งก็เป็นได้
ถ้าดูจากปีเกิด ปีนี้นักเดี่ยวมือหนึ่งของประเทศเรากำลังจะก้าวเข้าสู่วัยเลข 5 เป็นปีแรก
ด้วยวัยนี้ ไม่ว่าอาชีพไหนคุณก็คงจะรู้แล้วว่าตัวเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือเปล่า
และทุกสิ่งที่ทำผ่านมา มันให้ผลอย่างไรกับชีวิต
ความเชี่ยวชาญ ความรอบรู้ มันย่อมมาพร้อมความอ่อนล้าโรยแรง
ในอดีต ทุกครั้งที่การแสดงเดี่ยวถูกจัดขึ้น
มันมักจะมีคำใหม่ๆ มีประโยคใหม่ๆ มีเรื่องราวใหม่ๆ ให้เราได้พูดถึงกัน
และหลังๆก็มีทัศนะเกี่ยวกับการเมืองที่ถึงแม้จะทำให้เราตลก ทำให้เรายิ้ม
แต่ก็ยิ้มทั้งน้ำตาให้กับความอ่อนแอของสังคมเรา
แต่ครั้งนี้ ผมรู้สึกว่ามันยังคงตลก แต่ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรให้พูดถึงกันต่อไปมากนัก
และที่สำคัญ เรื่องราวเกี่ยวกับสังคมการเมืองที่พี่โน๊ตนำเสนอ
มันดูจริงมากกว่าทุกครั้ง เหมือนเป็นการระบายความรู้สึก
ในสื่อและช่องทางที่ตัวเองมีอยู่ในมือ
ระหว่างที่นั่งฟังอยู่ในนั้น มีหลายครั้งเหลือเกินที่ผมคิดว่า
ในวัย 50 ปี ผมจะอ่อนล้าขนาดไหน
และจะยังมีพลังทำอะไรใหญ่โตแบบนี้ไหม
คนวัย 50 ในอดีต คนวัย 50 ในตอนนี้
กับคนวัย 50 ในยุคที่ผมกำลังจะเดินหน้าไปนั้นไม่เหมือนกัน
เพราะไม่มียุคไหนอีกแล้วที่เทคโนโลยีจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างหายไปอย่างรวดเร็ว
10 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ไอโฟนเครื่องแรกออกมา
ทุกอย่างเดินหน้าไปแบบไม่สนใจใครทั้งสิ้น
และคนวัย 50 มีหลายสิ่งที่ต้องสูญเสีย
จะไม่ก้าวตามเลยก็จะตกยุค จะไม่โหยหาเลยก็ทำใจยากลำบาก
แถมบางสิ่งถึงแม้จะโหยหาขนาดไหน
ก็ไม่สามารถกลับไปมีประสบการณ์แบบเดิมได้อีกต่อไปแล้ว
เพราะทุกอย่างถูกเทคโนโลยีกลืนกินไปจนหมดสิ้น
นักแสดงตลกอย่างพี่โน๊ต สิ่งนึงที่สำคัญเหลือเกินคือการสังเกตสังคม
การติดตามดูทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน
เพื่อนำมากลั่นกรองออกมาเป็นเรื่องราว และนำเสนอกับผู้ชมผู้ฟัง
ผมสงสัยอีกแล้วว่า
ในวัย 50 เรายังอยากจะเปิดเรดาร์รับข้อมูลมากขนาดนั้นอยู่หรือเปล่า
หลายเรื่องราวที่ได้ฟังในคืนนี้อาจจะเป็นคำตอบ
เพราะหลายเรื่องที่เล่า เป็นเรื่องราวย้อนกลับไปในความทรงจำของพี่โน๊ต
และแน่นอน เป็นหมุดหมายสำคัญที่แกต้องเผชิญกับความเงียบในฮอลล์อันกว้างใหญ่
เนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้บางสิ่งบางอย่างที่คนฟังได้ยิน
เขาไม่มีประสบการณ์ร่วมมากพอ ที่จะหัวเราะหรือยิ้มให้มันได้อีกแล้ว
จะเป็นยังไง ถ้าวันนึง
ศิลปิน one stand up comedy เล่าแต่เรื่องที่คนฟังทุกคนไม่เคยได้ยิน
ทุกคนในห้องก็เงียบ ไม่มีเสียงหัวเราะ
ไม่ใช่เรื่องมันไม่ตลก แต่เขาไม่อินกับเรื่องราว
และต่อจากนั้น เขาอาจจะคิดว่า
นักสังเกตสังคม ที่สะท้อนเรื่องราวของยุคสมัยคนเดิมคนนั้น
อาจจะไม่ได้อาศัยอยู่ในตัวของคนบนเวทีอีกต่อไปแล้ว
ผมอยู่ในวงการเทคโนโลยี
เลยมีโอกาสได้เห็นคนวัยเลข 5 มากมายที่ยังคงอินเทรนด์ ยังคงตามโลกทัน
มากไปกว่านั้นยังรู้หลายเรื่องรอบโลกมากจนผมอิจฉา
แต่ผมลืมไปว่า โลกภายนอกนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่ทุกคนที่หมุนตามโลกทัน
สำหรับผม เดี่ยว 12 คืนนี้ทำให้ผมหัวเราะตั้งแต่ต้นจนจบ
และตาเป็นประกายตลอดการแสดง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ไม่ว่าเดี่ยวจะมีไปอีกกี่ครั้ง
หรือเราจะมีศิลปินแขนงนี้อีกกี่คนในประเทศ
และแน่นอน ไม่ว่าเขาหลายคนต่อจากนี้จะเก่งกาจสามารถขนาดไหน
ผมเชื่อว่าจะไม่มีสักครังที่คนในประเทศไทยเอ่ยถึงการเป็นศิลปินเดี่ยวไมโครโฟนบนเวที
และจะไม่เอ่ยถึงผู้ชายคนนี้
23 ปีเป็นเส้นทางอันยาวนาน และถึงแม้มันจะจบลงที่ตรงนี้ หรือจะดำเนินไปอีกกี่ปี
มันไม่ได้มีผลทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย
เพราะสิ่งที่พี่โน๊ตทำ มันกลายเป็นตำนานของประเทศนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
และตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่พี่โน๊ตต้องการ ที่ผมสัมผัสได้จากบนเวที
มันไม่ใช่ชื่อเสียง เงินทอง หรือการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
มันอาจจะเป็นแค่ใครคนนึงที่รอการกลับบ้านของศิลปิน "หนุ่ม" คนนี้
รอมอบอ้อมกอดให้กับเขาในค่ำคืนการแสดงอันเหนื่อยล้า
ขอบคุณที่สร้างความสุขและเสียงหัวเราะให้คนไทยตลอด 23 ปีที่ผ่านมา
และด้วยความสัตย์จริง อยากให้มันยาวนานไปตลอดกาล
ปล. หวังว่าเมื่อเราอายุ 50 จะยังทำอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้
เพราะขนาดแค่ตอนนี้ หัวเราะสองชั่วโมงกว่ายังเหนื่อยล้าแทบแย่
แสงดาวเรียงรายสวยเด่น
แต่ใจฉันคืนนี้ สุดแสนลำเค็ญหม่นหมาง
ค่ำคืนนั้นได้กอดกระซิบ แนบชิดเคียงข้าง
แต่คืนนี้เปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง ระทมอ่อนใจ
*สุดเหงา ลมโชยมาหนาวสั่น
ยังคิดถึงคืน ยามแสนชื่นไม่หาย
ยากจะหา รักใดแทนนั้นได้
สุขนั้นลอยไป เลือนลางลับตา
เสียงเพลง ดาวประดับใจ ของคุณดอน สอนระเบียบ
ดังก้องกังวานอยู่ในหัว
มันอาจจะไม่ได้เพราะมากนัก แต่ก็เต็มไปด้วยความหมาย
ผมนั่งฟังเพลงนี้อยู่ในงาน "เดี่ยว 12" ของพี่โน๊ต อุดม
ที่ทุกคนคงรู้จักกันดี
จะว่าไปคนอายุ 30 - 60 ในประเทศไทย
คงหาคนที่ไม่รู้จักพี่โน๊ตได้ยากพอสมควรเหมือนกันนะครับ
จริงๆแล้วถ้าย้อนความกันไป
ผมอยากดูการแสดง one standup comedy นี้มาตั้งแต่เดี่ยว 1
ซึ่งเริ่มต้นในปี 2538
แต่จะด้วยวัย ความสนใจ ฐานะ หรืออะไรก็ตาม
ผมทำได้เพียงดูผ่านวิดีโอหรือซีดี อยู่ที่บ้าน
จนกระทั่งปี 2561 นี้
ผมจึงได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งครั้งแรกในมหรสพเดี่ยวอันยาวนาน
23 ปีที่รอคอย นับเป็นเวลาที่ยาวนาน
ถึงกระนั้นในความรู้สึกของพี่โน๊ต
มันคงยาวนานกว่าผมมากนัก
ถึงแม้จะดูที่บ้านมาตลอด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่า
เมื่อวานพี่โน๊ตดูเหนื่อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ความชราของร่างกายไม่เคยปราณีใครอยู่แล้ว
แต่ผมรู้สึกว่ายังโชคดีเหลือเกินที่แววตาของเขายังคงฉายแวววิบวับอยู่บ้าง
แต่ไม่รู้สิ จะด้วยหลายอย่างประกอบกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมรู้สึกว่า
ตำนานของเดี่ยวไมโครโฟนคนเดียวของเมืองไทยมันเหมือนใกล้จะจบลงแล้ว
หากความอ่อนล้ามาพร้อมกับการหมดความท้าทาย
บางที เราอาจจะได้เห็นโน๊ต อุดมบนเวทีของตัวเองอีกแค่ 1 หรือ 2 ครั้งก็เป็นได้
ถ้าดูจากปีเกิด ปีนี้นักเดี่ยวมือหนึ่งของประเทศเรากำลังจะก้าวเข้าสู่วัยเลข 5 เป็นปีแรก
ด้วยวัยนี้ ไม่ว่าอาชีพไหนคุณก็คงจะรู้แล้วว่าตัวเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือเปล่า
และทุกสิ่งที่ทำผ่านมา มันให้ผลอย่างไรกับชีวิต
ความเชี่ยวชาญ ความรอบรู้ มันย่อมมาพร้อมความอ่อนล้าโรยแรง
ในอดีต ทุกครั้งที่การแสดงเดี่ยวถูกจัดขึ้น
มันมักจะมีคำใหม่ๆ มีประโยคใหม่ๆ มีเรื่องราวใหม่ๆ ให้เราได้พูดถึงกัน
และหลังๆก็มีทัศนะเกี่ยวกับการเมืองที่ถึงแม้จะทำให้เราตลก ทำให้เรายิ้ม
แต่ก็ยิ้มทั้งน้ำตาให้กับความอ่อนแอของสังคมเรา
แต่ครั้งนี้ ผมรู้สึกว่ามันยังคงตลก แต่ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรให้พูดถึงกันต่อไปมากนัก
และที่สำคัญ เรื่องราวเกี่ยวกับสังคมการเมืองที่พี่โน๊ตนำเสนอ
มันดูจริงมากกว่าทุกครั้ง เหมือนเป็นการระบายความรู้สึก
ในสื่อและช่องทางที่ตัวเองมีอยู่ในมือ
ระหว่างที่นั่งฟังอยู่ในนั้น มีหลายครั้งเหลือเกินที่ผมคิดว่า
ในวัย 50 ปี ผมจะอ่อนล้าขนาดไหน
และจะยังมีพลังทำอะไรใหญ่โตแบบนี้ไหม
คนวัย 50 ในอดีต คนวัย 50 ในตอนนี้
กับคนวัย 50 ในยุคที่ผมกำลังจะเดินหน้าไปนั้นไม่เหมือนกัน
เพราะไม่มียุคไหนอีกแล้วที่เทคโนโลยีจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างหายไปอย่างรวดเร็ว
10 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ไอโฟนเครื่องแรกออกมา
ทุกอย่างเดินหน้าไปแบบไม่สนใจใครทั้งสิ้น
และคนวัย 50 มีหลายสิ่งที่ต้องสูญเสีย
จะไม่ก้าวตามเลยก็จะตกยุค จะไม่โหยหาเลยก็ทำใจยากลำบาก
แถมบางสิ่งถึงแม้จะโหยหาขนาดไหน
ก็ไม่สามารถกลับไปมีประสบการณ์แบบเดิมได้อีกต่อไปแล้ว
เพราะทุกอย่างถูกเทคโนโลยีกลืนกินไปจนหมดสิ้น
นักแสดงตลกอย่างพี่โน๊ต สิ่งนึงที่สำคัญเหลือเกินคือการสังเกตสังคม
การติดตามดูทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน
เพื่อนำมากลั่นกรองออกมาเป็นเรื่องราว และนำเสนอกับผู้ชมผู้ฟัง
ผมสงสัยอีกแล้วว่า
ในวัย 50 เรายังอยากจะเปิดเรดาร์รับข้อมูลมากขนาดนั้นอยู่หรือเปล่า
หลายเรื่องราวที่ได้ฟังในคืนนี้อาจจะเป็นคำตอบ
เพราะหลายเรื่องที่เล่า เป็นเรื่องราวย้อนกลับไปในความทรงจำของพี่โน๊ต
และแน่นอน เป็นหมุดหมายสำคัญที่แกต้องเผชิญกับความเงียบในฮอลล์อันกว้างใหญ่
เนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้บางสิ่งบางอย่างที่คนฟังได้ยิน
เขาไม่มีประสบการณ์ร่วมมากพอ ที่จะหัวเราะหรือยิ้มให้มันได้อีกแล้ว
จะเป็นยังไง ถ้าวันนึง
ศิลปิน one stand up comedy เล่าแต่เรื่องที่คนฟังทุกคนไม่เคยได้ยิน
ทุกคนในห้องก็เงียบ ไม่มีเสียงหัวเราะ
ไม่ใช่เรื่องมันไม่ตลก แต่เขาไม่อินกับเรื่องราว
และต่อจากนั้น เขาอาจจะคิดว่า
นักสังเกตสังคม ที่สะท้อนเรื่องราวของยุคสมัยคนเดิมคนนั้น
อาจจะไม่ได้อาศัยอยู่ในตัวของคนบนเวทีอีกต่อไปแล้ว
ผมอยู่ในวงการเทคโนโลยี
เลยมีโอกาสได้เห็นคนวัยเลข 5 มากมายที่ยังคงอินเทรนด์ ยังคงตามโลกทัน
มากไปกว่านั้นยังรู้หลายเรื่องรอบโลกมากจนผมอิจฉา
แต่ผมลืมไปว่า โลกภายนอกนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่ทุกคนที่หมุนตามโลกทัน
สำหรับผม เดี่ยว 12 คืนนี้ทำให้ผมหัวเราะตั้งแต่ต้นจนจบ
และตาเป็นประกายตลอดการแสดง
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ไม่ว่าเดี่ยวจะมีไปอีกกี่ครั้ง
หรือเราจะมีศิลปินแขนงนี้อีกกี่คนในประเทศ
และแน่นอน ไม่ว่าเขาหลายคนต่อจากนี้จะเก่งกาจสามารถขนาดไหน
ผมเชื่อว่าจะไม่มีสักครังที่คนในประเทศไทยเอ่ยถึงการเป็นศิลปินเดี่ยวไมโครโฟนบนเวที
และจะไม่เอ่ยถึงผู้ชายคนนี้
23 ปีเป็นเส้นทางอันยาวนาน และถึงแม้มันจะจบลงที่ตรงนี้ หรือจะดำเนินไปอีกกี่ปี
มันไม่ได้มีผลทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย
เพราะสิ่งที่พี่โน๊ตทำ มันกลายเป็นตำนานของประเทศนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
และตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่พี่โน๊ตต้องการ ที่ผมสัมผัสได้จากบนเวที
มันไม่ใช่ชื่อเสียง เงินทอง หรือการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
มันอาจจะเป็นแค่ใครคนนึงที่รอการกลับบ้านของศิลปิน "หนุ่ม" คนนี้
รอมอบอ้อมกอดให้กับเขาในค่ำคืนการแสดงอันเหนื่อยล้า
ขอบคุณที่สร้างความสุขและเสียงหัวเราะให้คนไทยตลอด 23 ปีที่ผ่านมา
และด้วยความสัตย์จริง อยากให้มันยาวนานไปตลอดกาล
ปล. หวังว่าเมื่อเราอายุ 50 จะยังทำอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้
เพราะขนาดแค่ตอนนี้ หัวเราะสองชั่วโมงกว่ายังเหนื่อยล้าแทบแย่