"ไม่ว่าจะอย่างไร เราต่างก็เติบโต"
ล้อมวงเข้ามาครับ ผมมีเรื่องเล่าให้ฟัง สืบเนื่องมาจาก 3 เหตุการณ์รวมกัน จึงออกมาเป็นบทความนี้ ที่อยากจะใช้ชื่อว่า
"ไม่ว่าจะอย่างไร เราต่างก็เติบ"
เหตุการณ์แรก คือเมื่อวานตอนที่อัด podcast EP2 ชื่อตอนว่า designing your life หาฟังกันได้แล้วนะครับในเพจผมนะ (แน่ะ มีโฆษณา) เนื่องจากมีคนให้ feedback เรื่องเสียงที่มันดังบ้างเบาบ้าง เพราะผมใช้หูฟังธรรมดาและอัดกับโทรศัพท์มือถือในครั้งแรก ผมก็เลยไปปรึกษาพี่ที่เชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับอุปกรณ์ IT ต่างๆ พี่เค้าเลยแนะนำไมค์มาให้ ผมก็เลยซื้อมาลอง และด้วยความที่เพิ่งใช้เป็นครั้งแรก ทั้งไมค์ ตัวกรองเสียง ลองใช้โปรแกรมอัดเสียงในเครื่องก่อน ลองอัดผ่านโน๊ตบุ๊คเป็นครั้งแรก พออัดออกมา ไฟล์เป็นคนละนามสกุล ใน podbean ไม่ support ก็เลยต้องหาโปรแกรมแปลงไฟล์ จากที่คิดว่าจะใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงในการทำ ก็กินเวลาไปชั่วโมงครึ่งกว่า เพราะกว่าจะแกะอุปกรณ์มาลองนั่นลองนี่ก็เสียเวลาไปมากแล้ว แต่แล้วพอทำเสร็จ ผมลืมไปสนิทเลยว่าจะมีคนฟังหรือไม่ รู้อย่างเดียวว่า มันมีความสุขไปเรียบร้อยแล้ว
ผมมานั่งสงสัยและวิเคราะห์ตัวเองว่า ทำไมผมถึงมีความสุข ค้นลึกลงไปก็พบว่า เป็นเพราะผมรู้สึกว่า ตัวเองมีการเติบโตเล็กๆในกระบวนการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่นี้อยู่ตลอดเวลา เมื่อไปรวมกับเหตุการณ์ที่สอง คือการที่ผมได้อ่านบทความของ a day bullentin เรื่อง ความหมายที่แท้จริงของการ ‘เติบโต’ ในหน้าที่การงาน ซึ่งพูดถึงการมองการเติบโต แบบที่ไม่ได้เป็นเส้นตรงขึ้นไปทางเดียว และไม่ใช่แค่เรื่องของตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่มันคือการเติบโต "ภายใน" ซึ่งเป็นภาพรวมในการใช้ชีวิตทั้งหมดทั้งมวลของเรา ในบทความนั้น ยังมีประโยคนึงดังก้องอยู่ในใจผมจนถึงตอนนี้
“งานนั้นเป็นเรื่องของเครื่องจักร ชีวิตนั้นเป็นเรื่องของมนุษย์”
(jobs are for machines, and life is for the people)
พอนึกย้อนดู ผมเปิดเพจมาได้ประมาณ 7 - 8 ปี พอๆกับที่เริ่มเข้าสู่อาชีพที่คนอื่นเรียกว่า infopreneur ผู้ประกอบการที่ขายข้อมูลความรู้หรือ solopreneur ที่ลุยมาคนเดียว แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันกับหลายคนคือ ผมยังอยากทำงานประจำไปด้วย และมุ่งหวังการเติบโตจากมันด้วยเช่นกัน เพราะผมค้นพบความลับข้อนึง ซึ่งจำไม่ได้ว่าได้ยินมาจากไหน และก็ได้ยินมานานมาก นั่นคือ หากเราทำธุรกิจส่วนตัวไปด้วย ในขณะที่ยังคงทำงานประจำ มีข้อดีอยู่ข้อนึงคือ เราไม่จำเป็นต้องกดดันในเรื่องของสถานะทางการเงิน และไม่ต้องเลือกทำงานที่เราไม่ชอบ กับคนที่มันไม่ใช่ ที่สำคัญคือ ผมเอารายได้จากงานประจำ มาใช้เล่นๆไปกับการเรียนรู้ได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องกังวลใดๆ
การลองเขียนหนังสือ ,เสนอให้สำนักพิมพ์ ,ศึกษาเรื่องการเปิดสำนักพิมพ์เอง ,เปิดเพจ ,ยิง ads ผ่าน facebook ,ทำ channel youtube ,ใช้ line@ ที่เป็น line business ,ทำ email marketing ,เตรียมการสอน ,ติดต่อกับ HR บริษัทใหญ่ ,ทำ proposal ,ยื่นภาษี ,ติดต่อกับโรงแรม ,ติดต่อกับเว็บที่รับฝาก event ,ทำเสื้อ ,ทำนามบัตร ,ฝึกพูดต่อหน้าคน ,ฝึกพูดหน้ากล้อง และอื่นๆอีกมากมาย มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายของใครหลายคน แต่สำหรับผม ทุกอย่างคือการเรียนรู้ และทุกวินาทีคือการเติบโต ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าบางครั้ง งานประจำก็ให้การเติบโตในบางด้านไม่ได้
แต่แน่นอน ถ้ามันไม่ดีจริง ผู้คนมากมายก็คงเลิกทำงานประจำกันไปหมดแล้ว ตัวผมเองก็เช่นกัน
เช่นเดียวกันมาถึงเหตุการณ์ที่สาม นั่นคือหนังสือที่ผมพึ่งอ่านจบไป ซึ่งเป็นเล่มที่ 31 แล้วของปีนี้ ที่ชื่อว่า ขโมยวิธีคิดสุดเจ๋งของโรงเรียนสอนสตาร์ทอัพ
มีช่วงนึงที่หนังสือบอกว่า เจ้าของโรงเรียนบอกไว้ว่า อายุที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนเริ่มสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ คือ 24 - 26 เป็นผู้ใหญ่กว่าในวัยเรียน มีวุฒิภาวะมากพอ แต่ยังไม่มีภาระเรื่องครอบครัว ไม่มีลูก ไม่มีคู่ชีวิต และมีค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตต่ำ เรียกว่าเงินลงทุนจากผู้ลงทุนนั่นมากพอ ที่จะทำให้ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพเหล่านี้มีชีวิตต่อไปได้
ผมกลับมาคิดถึงตัวเอง มีหลายครั้งเหมือนกันที่มีคนชวน และ บางครั้งตัวเองก็อยากไปลองทำดู แต่พออ่านตรงนี้แล้วก็เกิดการคลี่คลายในตัวเอง ผมมีค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตส่วนตัวสูงตามวัย มีภาระหน้าที่อื่นที่ต้องดูแล มันมาไกลเกินกว่า 24 - 26 มากแล้ว และที่สำคัญกว่านั้น ผมจินตนาการถึงตัวเองที่มุ่งมั่นทุ่มเทกับไอเดีย หรือเรื่องใดเรื่องนึงเพียงเรื่องเดียวไม่ออกแล้วในวัยนี้
คำถามคือ แล้วตอนในวัยนั้นผมทำอะไรอยู่ ผมค้นพบว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของผมในช่วง 2 ปีนั้น คือการทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้งกับผู้หญิงคนนึง คนที่ยังคงอยู่และเป็นคู่ชีวิตกับผมในวันนี้ ซึ่งหากย้อนไปนึกถึงแล้ว ไม่มีสักวินาทีที่ผมจะเสียใจที่ไม่ได้ลองทุ่มเททำธุรกิจอะไรสักอย่างในวัยนั้น แต่กลับมาเริ่มทำ infopreneur ในวัยขึ้น 30 แล้ว
และนี่คือสิ่งที่ผมตกผลึกในช่วงเวลาไม่กี่วันมานี้ โอกาสและการตัดสินใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ "ไม่ว่าจะอย่างไร เราต่างก็เติบโต" ไม่ว่าตอนนี้คุณจะมีตำแหน่งหน้าที่ ฐานะทางการเงิน รวมไปถึงความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างเป็นอย่างไร คุณต่างก็เติบโตและเป็นคนที่แตกต่างจากเมื่อวาน แตกต่างจากสามปี ห้าปี หรือสิบปีที่แล้ว
เช่นเดียวกัน เมื่อคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้ สูดหายใจลึกๆ ทบทวนดูให้ดี คุณกำลังเติบโตขึ้นมากว่าตอนที่ยังไม่ได้อ่านแล้วนะครับ
เป็นกำลังใจกับทุกคน ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไรอยู่ แต่ในงานแห่งชีวิต "ไม่ว่าจะอย่างไร เราต่างก็เติบโต" อย่างแน่นอนครับ
"ไม่ว่าจะอย่างไร เราต่างก็เติบ"
เหตุการณ์แรก คือเมื่อวานตอนที่อัด podcast EP2 ชื่อตอนว่า designing your life หาฟังกันได้แล้วนะครับในเพจผมนะ (แน่ะ มีโฆษณา) เนื่องจากมีคนให้ feedback เรื่องเสียงที่มันดังบ้างเบาบ้าง เพราะผมใช้หูฟังธรรมดาและอัดกับโทรศัพท์มือถือในครั้งแรก ผมก็เลยไปปรึกษาพี่ที่เชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับอุปกรณ์ IT ต่างๆ พี่เค้าเลยแนะนำไมค์มาให้ ผมก็เลยซื้อมาลอง และด้วยความที่เพิ่งใช้เป็นครั้งแรก ทั้งไมค์ ตัวกรองเสียง ลองใช้โปรแกรมอัดเสียงในเครื่องก่อน ลองอัดผ่านโน๊ตบุ๊คเป็นครั้งแรก พออัดออกมา ไฟล์เป็นคนละนามสกุล ใน podbean ไม่ support ก็เลยต้องหาโปรแกรมแปลงไฟล์ จากที่คิดว่าจะใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงในการทำ ก็กินเวลาไปชั่วโมงครึ่งกว่า เพราะกว่าจะแกะอุปกรณ์มาลองนั่นลองนี่ก็เสียเวลาไปมากแล้ว แต่แล้วพอทำเสร็จ ผมลืมไปสนิทเลยว่าจะมีคนฟังหรือไม่ รู้อย่างเดียวว่า มันมีความสุขไปเรียบร้อยแล้ว
ผมมานั่งสงสัยและวิเคราะห์ตัวเองว่า ทำไมผมถึงมีความสุข ค้นลึกลงไปก็พบว่า เป็นเพราะผมรู้สึกว่า ตัวเองมีการเติบโตเล็กๆในกระบวนการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่นี้อยู่ตลอดเวลา เมื่อไปรวมกับเหตุการณ์ที่สอง คือการที่ผมได้อ่านบทความของ a day bullentin เรื่อง ความหมายที่แท้จริงของการ ‘เติบโต’ ในหน้าที่การงาน ซึ่งพูดถึงการมองการเติบโต แบบที่ไม่ได้เป็นเส้นตรงขึ้นไปทางเดียว และไม่ใช่แค่เรื่องของตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่มันคือการเติบโต "ภายใน" ซึ่งเป็นภาพรวมในการใช้ชีวิตทั้งหมดทั้งมวลของเรา ในบทความนั้น ยังมีประโยคนึงดังก้องอยู่ในใจผมจนถึงตอนนี้
“งานนั้นเป็นเรื่องของเครื่องจักร ชีวิตนั้นเป็นเรื่องของมนุษย์”
(jobs are for machines, and life is for the people)
พอนึกย้อนดู ผมเปิดเพจมาได้ประมาณ 7 - 8 ปี พอๆกับที่เริ่มเข้าสู่อาชีพที่คนอื่นเรียกว่า infopreneur ผู้ประกอบการที่ขายข้อมูลความรู้หรือ solopreneur ที่ลุยมาคนเดียว แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันกับหลายคนคือ ผมยังอยากทำงานประจำไปด้วย และมุ่งหวังการเติบโตจากมันด้วยเช่นกัน เพราะผมค้นพบความลับข้อนึง ซึ่งจำไม่ได้ว่าได้ยินมาจากไหน และก็ได้ยินมานานมาก นั่นคือ หากเราทำธุรกิจส่วนตัวไปด้วย ในขณะที่ยังคงทำงานประจำ มีข้อดีอยู่ข้อนึงคือ เราไม่จำเป็นต้องกดดันในเรื่องของสถานะทางการเงิน และไม่ต้องเลือกทำงานที่เราไม่ชอบ กับคนที่มันไม่ใช่ ที่สำคัญคือ ผมเอารายได้จากงานประจำ มาใช้เล่นๆไปกับการเรียนรู้ได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องกังวลใดๆ
การลองเขียนหนังสือ ,เสนอให้สำนักพิมพ์ ,ศึกษาเรื่องการเปิดสำนักพิมพ์เอง ,เปิดเพจ ,ยิง ads ผ่าน facebook ,ทำ channel youtube ,ใช้ line@ ที่เป็น line business ,ทำ email marketing ,เตรียมการสอน ,ติดต่อกับ HR บริษัทใหญ่ ,ทำ proposal ,ยื่นภาษี ,ติดต่อกับโรงแรม ,ติดต่อกับเว็บที่รับฝาก event ,ทำเสื้อ ,ทำนามบัตร ,ฝึกพูดต่อหน้าคน ,ฝึกพูดหน้ากล้อง และอื่นๆอีกมากมาย มันอาจจะเป็นเรื่องง่ายของใครหลายคน แต่สำหรับผม ทุกอย่างคือการเรียนรู้ และทุกวินาทีคือการเติบโต ซึ่งต้องบอกตามตรงว่าบางครั้ง งานประจำก็ให้การเติบโตในบางด้านไม่ได้
แต่แน่นอน ถ้ามันไม่ดีจริง ผู้คนมากมายก็คงเลิกทำงานประจำกันไปหมดแล้ว ตัวผมเองก็เช่นกัน
เช่นเดียวกันมาถึงเหตุการณ์ที่สาม นั่นคือหนังสือที่ผมพึ่งอ่านจบไป ซึ่งเป็นเล่มที่ 31 แล้วของปีนี้ ที่ชื่อว่า ขโมยวิธีคิดสุดเจ๋งของโรงเรียนสอนสตาร์ทอัพ
มีช่วงนึงที่หนังสือบอกว่า เจ้าของโรงเรียนบอกไว้ว่า อายุที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนเริ่มสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ คือ 24 - 26 เป็นผู้ใหญ่กว่าในวัยเรียน มีวุฒิภาวะมากพอ แต่ยังไม่มีภาระเรื่องครอบครัว ไม่มีลูก ไม่มีคู่ชีวิต และมีค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตต่ำ เรียกว่าเงินลงทุนจากผู้ลงทุนนั่นมากพอ ที่จะทำให้ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพเหล่านี้มีชีวิตต่อไปได้
ผมกลับมาคิดถึงตัวเอง มีหลายครั้งเหมือนกันที่มีคนชวน และ บางครั้งตัวเองก็อยากไปลองทำดู แต่พออ่านตรงนี้แล้วก็เกิดการคลี่คลายในตัวเอง ผมมีค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตส่วนตัวสูงตามวัย มีภาระหน้าที่อื่นที่ต้องดูแล มันมาไกลเกินกว่า 24 - 26 มากแล้ว และที่สำคัญกว่านั้น ผมจินตนาการถึงตัวเองที่มุ่งมั่นทุ่มเทกับไอเดีย หรือเรื่องใดเรื่องนึงเพียงเรื่องเดียวไม่ออกแล้วในวัยนี้
คำถามคือ แล้วตอนในวัยนั้นผมทำอะไรอยู่ ผมค้นพบว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของผมในช่วง 2 ปีนั้น คือการทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้งกับผู้หญิงคนนึง คนที่ยังคงอยู่และเป็นคู่ชีวิตกับผมในวันนี้ ซึ่งหากย้อนไปนึกถึงแล้ว ไม่มีสักวินาทีที่ผมจะเสียใจที่ไม่ได้ลองทุ่มเททำธุรกิจอะไรสักอย่างในวัยนั้น แต่กลับมาเริ่มทำ infopreneur ในวัยขึ้น 30 แล้ว
และนี่คือสิ่งที่ผมตกผลึกในช่วงเวลาไม่กี่วันมานี้ โอกาสและการตัดสินใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ "ไม่ว่าจะอย่างไร เราต่างก็เติบโต" ไม่ว่าตอนนี้คุณจะมีตำแหน่งหน้าที่ ฐานะทางการเงิน รวมไปถึงความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างเป็นอย่างไร คุณต่างก็เติบโตและเป็นคนที่แตกต่างจากเมื่อวาน แตกต่างจากสามปี ห้าปี หรือสิบปีที่แล้ว
เช่นเดียวกัน เมื่อคุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้ สูดหายใจลึกๆ ทบทวนดูให้ดี คุณกำลังเติบโตขึ้นมากว่าตอนที่ยังไม่ได้อ่านแล้วนะครับ
เป็นกำลังใจกับทุกคน ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไรอยู่ แต่ในงานแห่งชีวิต "ไม่ว่าจะอย่างไร เราต่างก็เติบโต" อย่างแน่นอนครับ