เราต่างตื่นมา...เพื่อวิ่งค้นหาอะไรบางอย่าง
ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อไร รู้ตัวอีกทีคนรอบตัวผมหลายต่อหลายคนก็เริ่มวิ่ง และส่วนใหญ่ไม่ได้วิ่งแค่เพื่อสุขภาพ วิ่งออกกำลังกาย แต่มันไปไกลถึงการลงแข่งขัน รวมไปถึงจับกลุ่มเก็บระยะแข่งขันกัน ก่อนหน้านี้ผมจำได้ว่ากระแสของการขี่จักรยานนั้นมาก่อน เพียงแต่จักรยานมันยังต้องพึ่งพาตัวจักรยานเป็นอุปกรณ์ สุดท้ายแล้วการวิ่งมันคือสิ่งที่ง่ายกว่า เป็นพื้นฐานของมนุษย์มากกว่า ทุกคนสามารถวิ่งได้โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมาย มีแค่รองเท้าผ้าใบคู่เดียวก็พอ
มันเริ่มต้นแบบนั้น เพียงแค่รองเท้าคู่เดียว แต่หลังๆเท่าที่ผมสังเกต มันอาจจะไม่ใช่แค่นั้น อุปกรณ์จับเวลา วัดการเต้นของหัวใจ คำนวณอะไรต่อมิอะไร รวมไปถึงหูฟังก็เริ่มจะเป็นสิ่งจำเป็นมาอีกขั้น จากที่เคยคิดว่าวิ่งก็คือวิ่ง เราก็ต้องเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า วิ่งระยะทางเท่าไรเรียกว่าอะไร รวมไปถึงถ้าอายุเท่านี้ ควรจะวิ่งให้หัวใจเต้นเร็วขนาดไหน และถ้าเต้นขนาดไหน เรียกว่าวิ่งโซนไหน คือมันทำให้คนปกติธรรมดาที่ไม่ใช่นักกีฬา ต้องมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น จริงจังมากขึ้นด้วย
อีกอย่างที่น่าสนใจและเปลี่ยนแปลงไปในแง่ดีคือ ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มคนที่หลงใหลในการเล่นกีฬาอยู่แล้วตั้งแต่สมัยเด็กหรือวัยรุ่น พอมีอายุมากขึ้น เล่นไม่ไหว จึงหันมาวิ่ง แต่มันกลายเป็นว่า คนที่อาจจะไม่เคยออกกำลังกายเลย หรือไม่เคยเล่นกีฬาอะไรเลย ก็หันมาวิ่งกันด้วย เพราะอย่างที่บอก การเริ่มต้นวิ่งมันไม่ได้ยาก คือเราแค่ใส่รองเท้าออกมาวิ่ง เราก็วิ่งได้เลย มันก็เลยง่ายกว่าที่จะหันมาวิ่ง แทนที่จะเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างอื่น ในวัยที่อายุขึ้นต้นด้วยเลขสาม สี่ หรือห้า
ที่น่าสงสัยคือ ถ้าแค่วิ่งเพื่อสุขภาพ เราจำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้กันหรือเปล่า อุปกรณ์ต้องครบขนาดนี้ไหม ต้องวิ่งระยะเป็นสิบยี่สิบกิโลเมตรกันขนาดนี้ไหม หรือจริงๆแล้ว เราต่างไม่ได้วิ่งเพื่อสุขภาพ แต่เราวิ่งเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง
หลังจากที่คนชั้นกลางในประเทศเราเริ่มออกวิ่งกันอย่างหนาตา มันมีทฤษฏีมากมายที่หลั่งไหลออกมาบอกว่า ทำไมเราจึงวิ่ง หลายคนบอกว่า หากเราวิ่งในตอนเช้าก่อนไปทำงาน มันจะทำให้สมองรู้สึกว่าเราได้ทำอะไรสำเร็จไปแล้วหนึ่งอย่าง หมายความว่าต่อให้วันนี้ของเราย่ำแย่อย่างไร เราก็ยังมีหนึ่งอย่างที่ดี ก็คือเอาชนะตัวเองได้ พาตัวเองลุกจากที่นอนไปวิ่งได้ บางคนก็บอกว่า ในระหว่างที่เราวิ่ง มันเป็นช่วงเวลาที่สมองปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย ยิ่งวิ่งไกลเท่าไร สมองก็ยิ่งต้องโฟกัสที่การวิ่ง ไม่สามารถวอกแวกไปคิดเรื่องอื่นได้ ทำให้เมื่อวิ่งเสร็จแล้ว ก็จะรู้สึกว่าสมองโล่งขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น
สำหรับสายโหด ที่วิ่งไกลหน่อยก็บอกว่า มันคือการปีนบันไดเอาชนะร่างกายไปทีละขั้น หลายคนในวัยสามสิบกว่าหรือสี่สิบ รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถประสบความสำเร็จในงานได้มากกว่านี้อีกแล้ว หรือไม่มีความท้าทายในด้านอื่นของชีวิตอีกแล้ว เพียงแค่ทำงานไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตไปวันๆ แต่การเอาชนะตัวเอง พาตัวเองไปวิ่งมาราธอนได้ ก็กลายเป็นความสำเร็จชิ้นใหม่ที่หอมหวาน เป็นความท้าทายรูปแบบใหม่ แบบนั้นก็สุขใจไปอีกทางนึง แต่สำหรับตัวผมเองนั้น โลกของการวิ่งมันก็มีที่ทางของมันอยู่ จะเหมือนหรือต่างกันก็ไม่รู้ แต่ผมจะเล่าให้ฟัง
ผมเริ่มซื้อรองเท้าวิ่งมาได้น่าจะสัก 3 – 4 ปี น่าจะเป็นช่วงก่อนที่การวิ่งจะได้รับความนิยมมากในหมู่คนเมืองไม่นานนัก ผมซื้อมาเพราะแถวบ้านแฟนมีสนามกีฬาที่ปรับปรุงลู่วิ่งใหม่ ลองไปวิ่งเล่นๆแล้วเห็นว่าบรรยากาศดี ก็เลยหารองเท้าดีๆติดไว้สักคู่นึง เวลาไปวิ่งจะได้ไม่เอาอาการบาดเจ็บกลับมาด้วย และช่วงนั้นผมก็เริ่มวิ่ง เดือนละครั้งหรือสองครั้ง ไม่บ่อยไปกว่านั้น
จนกระทั่งผมย้ายเข้าคอนโดซึ่งมีฟิตเนส คราวนี้ก็เริ่มวิ่งถี่ขึ้น สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง แล้วแต่เวลาและร่างกายจะเอื้ออำนวย แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้วิ่งไกลมากนัก วิ่งแค่ 3-4 กิโลเมตร และก็วิ่งด้วยสปีดที่เร็วกว่าเดินแค่เพียงนิดหน่อยเท่านั้น เพราะสาเหตุหลักๆที่วิ่ง คือวิ่งเพื่อให้พุงที่เริ่มย้อยนั้นลดลงมาบ้าง ก็เท่านั้นเอง
วิ่งไปได้สักพัก พอเริ่มมาติดตามโลกภายนอกเขาบ้าง ก็เลยเห็นว่า สมัยนี้แม้กระทั่งสาวๆที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เขาก็หันมาวิ่งกัน แถมเขายังวิ่งกันไปถึง 5 กิโลเมตร บางคนก็ขยับขึ้นไป 10 กิโลเมตร เราก็เลยพึ่งตระหนักว่า สงสัยเราจะวิ่งน้อยไปเสียแล้ว เอาเพียงแค่สนุกสนานอยู่คนเดียว เห็นท่าจะไม่ดีแน่
แต่ก็นั่นล่ะครับ ก็ยังไม่ได้จริงจังเท่าไร ขยับมาวิ่ง 5 กิโลบ้าง 6 กิโลบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ไปถึง 10 กิโลสักที ก็เลยต้องมานั่งถามตัวเองว่า ทำไมถึงไม่รู้สึกว่าการวิ่งมันมหัศจรรย์เหมือนที่ใครเขาบอก ไม่รู้สึกว่าการวิ่งมันเปลี่ยนชีวิตอะไรแม้แต่น้อย วิ่งก็คือวิ่ง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ผมค้นหาคำตอบนั้นมานานพอสมควรและแล้วในวันนี้ ผมก็ค้นเจอมันจนได้ ที่สำคัญคือ ผมเจอมันระหว่างกำลังวิ่งอยู่พอดี
ผมชอบเตะฟุตบอลมาตั้งแต่จำความได้ครับ ตอนเด็กมีความฝันเดียวคือการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ตอนสมัยปิดเทอมใหญ่มัธยมต้น ก็ไปซ้อมฟุตบอลค่ายฤดูร้อนกับทางทหารอากาศ ที่เขาเปิดให้ลูกหลานของทหารอากาศไปซ้อมกัน เราไม่ใช่ แต่มีเพื่อนชวนไป ก็เลยไปด้วยกัน
การซ้อมตอนนั้นก็แน่นอน ก่อนจะเริ่มทำอะไรก็ต้องวิ่งก่อน วิดพื้น เล่นกล้ามท้อง หลายต่อหลายท่า ไอ้เรายังเด็กก็เบื่อสิครับ อยากเล่นแต่ฟุตบอล ไม่ได้อยากซ้อม ไม่ได้อยากฟิตอะไรมากมาย สมัยเด็กเราวิ่งเท่าไรมันก็ไม่เหนื่อยอยู่แล้ว แต่ถึงจะไม่ชอบ เราก็ทำครับ ทำให้มันครบ ทำให้มันเสร็จ เราจะได้ลงซ้อมทีม ได้สัมผัสกับลูกฟุตบอลเสียที
ในสมัยมัธยมต้น นอกจากเราจะเล่นฟุตบอลตัวโรงเรียน เล่นกีฬาสี เราก็ยังถูกคัดเป็นนักวิ่งของโรงเรียนในตอนม.1 ด้วย เราคัดติด วิ่งเร็วติด 1 ใน 10 ของชั้นปี แต่เราไม่ชอบวิ่ง ก็เลยพยายามหนีซ้อม หนีแข่ง หลบอาจารย์อยู่เป็นประจำ ไม่รู้สิครับ ตอนนั้นมันรู้สึกว่าการวิ่งมันเป็นกีฬาที่ไม่เท่เอาเสียเลย ก็มันแทบไม่ต้องใช้ทักษะอะไรเลย เล่นฟุตบอลมันดูเท่กว่าตั้งเยอะ ซึ่งก็หนีไปจนอาจารย์เขาเบื่อ และจบมัธยมต้นไปโดยเราก็ไม่เคยได้ไปแข่งเลยสักครั้งนั่นล่ะครับ จากนั้นตอนมัธยมปลายก็ไม่ได้ไปซ้อมฟุตบอลที่ทหารอากาศอีกแล้ว แต่ยังคงเตะฟุตบอลอยู่ทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น และในวัยนั้น วิ่งเท่าไรมันก็ไม่เหนื่อย อีกทั้งเทคโนโลยีก็ยังไม่ดีเท่าสมัยนี้ เท่าให้เราไม่เคยรู้เลยว่า เราวิ่งกันไปวันละเท่าไรกันแน่
พอเข้ามหาวิทยาลัย ก็สมัครเล่นฟุตบอลให้กับคณะ เล่นฟุตบอลเฟรชชี่ สมัยนั้นร่างกายเรายังแข็งแรง แต่ก็ไม่ได้วิ่งเล่นเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนตอนมัธยมอีกแล้ว พอย้อนนึกกลับไปก็ค้นพบว่าเราจะวิ่งก็แต่ตอนที่รุ่นพี่ให้ซ้อมเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราก็จะเตะบอลเล่นอย่างเดียว ไม่มีการวอร์มหรือซ้อมความแข็งแกร่งอะไรทั้งนั้น ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่ ตรงเวลาที่เราต้องซ้อมเพื่อลงแข่งกับคณะอื่นนี่ล่ะครับ รุ่นพี่ให้เราวิ่ง 25 รอบสนามฟุตบอล ทุกวัน วิ่งให้เสร็จ ยืดเส้นยืดสายกันอีกหน่อย จากนั้นจึงค่อยลงซ้อมทีมกัน ซึ่งถ้าเราลองคำนวณกันดูก็จะค้นพบว่า ลู่วิ่งรอบสนามฟุตบอลนั้นมักจะมีระยะทางประมาณ 400 เมตรครับ เพราะฉะนั้น การวิ่ง 25 รอบสนาม หมายความว่า เราต้องวิ่ง 10 กิโลเมตรเป็นการวอร์มทุกวัน แล้วจากนั้นค่อยเอาแรงที่เหลือไปวิ่งเล่นฟุตบอลในสนาม ซึ่งก็น่าจะอีกหลายกิโลเมตรพอสมควร และมันก็เป็นแบบนั้นอยู่ตลอดช่วงปีหนึ่งของผมนั่นเองครับ
หลังจากนั้น ผมยังคงเล่นฟุตบอลอยู่เสมอ ยาวนานมาจนเมื่อสัก 4 – 5 ปีก่อนนี้เอง ที่เพิ่งจะเล่นน้อยลง จนกระทั่งแทบไม่ได้สัมผัสลูกฟุตบอลอีกเลยแล้วก็หันมาวิ่งแทน อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นล่ะครับ
สำหรับผม เมื่อย้อนเวลากลับไป ผมสัมผัสได้ว่า การวิ่งไม่เคยเป็นสิ่งที่ผมชอบเลยมาโดยตลอด เอาจริงๆในตอนเล่นฟุตบอลในสนาม ผมก็ไม่ค่อยวิ่งไล่บอลครับ สมัยนั้นนักเตะเก่งๆจะต้องรอให้เพื่อนแย่งบอลมาแล้วส่งมาให้เราทำเกม ทำประตู ผมชอบนักเตะแบบนั้น ก็เลยมีทัศนคติแบบนั้น ส่วนไอ้การวิ่งก่อนที่จะซ้อมก็อย่างที่เล่าล่ะครับ ทำไปเพื่อให้มันจบๆ ไม่ได้อยากวิ่งเลยแม้แต่น้อย บอกตามตรงผมรู้สึกว่ามันเสียเวลามาก อยากจะเอาเวลาทั้งหมดนั้นมาซ้อมฟุตบอลในสนามมากกว่า และความรู้สึกนั้น มันยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกอยู่เสมอว่า เหตุผลเดียวที่ผมไม่วิ่งระยะไกล เพราะรู้สึกว่ามันเสียเวลาครับ ให้เวลากับการวิ่งเกิน 1 ชั่วโมงผมก็จะเบื่อแล้ว อาจจะเพราะเราไม่เคยสนุกกับการวิ่งมาแต่ไหนแต่ไร และก็ไม่ได้รู้สึกว่าการวิ่งได้ไกลมันคือการเอาชนะตัวเองอย่างไร เพราะเราเคยชนะมาจนไม่รู้เท่าไรแล้วในสมัยวัยรุ่น มันอาจจะไม่ถึง 42 กิโลเมตร แต่ 21 กิโลเมตรนั้นถือว่าธรรมดามากในสมัยที่เรายังเด็ก นั่นล่ะครับ ความรู้สึกของผมเกี่ยวกับการวิ่ง จนกระทั่งวันนี้มาถึง
ผมเป็นหวัด เจ็บคอ มึนหัว รู้สึกไร้เรี่ยวแรง เหมือนไข้จะขึ้นมาเป็นอาทิตย์ วันนี้พึ่งจะรู้สึกดีขึ้น สัก 80 – 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแน่นอนว่าในอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นก็ไม่ได้วิ่งเลย เพราะแค่จะเดินก็ยังค่อนข้างจะมึนหัวแล้ว พอวันนี้เริ่มฟื้น ประกอบกับขับรถกลับมาที่บ้านแฟนพอดี ผมก็เลยตัดสินใจคว้ารองเท้าวิ่งแล้วออกไปวิ่งเสียหน่อย ถือเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งหลังจากพักมาเป็นอาทิตย์ และที่ต่างออกไปคือ ผมตั้งใจว่าจะวิ่งให้มากกว่าเดิม มากกว่าที่เคยวิ่ง
พอผ่านรอบที่แปด ซึ่งก็คือสามกิโลเมตรนิดๆ ผมก็เริ่มเหนื่อยล้า เนื่องจากไม่ได้วิ่งต่อเนื่องมาเป็นอาทิตย์ แต่ก็ยังกัดฟันที่จะไปต่อ เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า อย่างน้อยที่สุดก็ขอสัก 15 รอบสนาม หรือประมาณหกกิโลด้วยกัน ก็เลยวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ช้าหน่อยแต่ก็ยังวิ่งต่อไป
เนื่องจากสนามที่ผมไปวิ่งนั้นเป็นสนามฟุตบอลด้วย ในสนามก็เลยมีคนเล่นฟุตบอลกันอยู่มากพอสมควร ผมก็วิ่งไปด้วย ดูเขาเล่นกันไปด้วย และพอความเหนื่อยล้ามาถึงจุดหนึ่ง ระยะทางมาถึงจุดหนึ่ง วินาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนเด็กผู้ชายคนนั้น คนที่เคยวิ่งแล้วมองดูคนเตะฟุตบอลเล่นกันในสนาม พลางคิดว่า เมื่อไรนะจะถึงเวลาที่เราจะได้ลงไปเล่นเสียที
ผมยิ่งวิ่ง วันเวลายิ่งย้อนกลับไป ผมยิ่งวิ่ง มันยิ่งเหมือนผมวิ่งย้อนไปในอดีต วิ่งไปหาวันวานที่เคยหอมหวาน แต่เป็นวันวานที่การวิ่งมันคือยาขม
เหงื่อเริ่มออกจนเสื้อผมไม่มีที่ว่างสำหรับความแห้ง ขาเริ่มล้า เอ็นร้อยหวายเริ่มตึง ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่า ถึงแม้ระยะทางจะเท่ากัน แต่เมื่อวันเวลามันผ่านไปแล้ว เส้นชัยที่ผมเคยเข้าเป็นประจำ เข้าจนไม่รู้สึกรู้สา มันกลับกลายเป็นเส้นชัยที่ผมเอื้อมไม่ถึง แต่ไม่รู้ทำไม ยิ่งวิ่งไกลเท่าไร ผมยิ่งมีความสุขขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่ายิ่งไกลออกไป มันยิ่งเหมือนผมกำลังวิ่งไล่เพื่อให้เข้าใกล้เด็กผู้ชายคนนั้น และในท้ายที่สุด ผมก็ไปถึง 25 รอบ หรือสิบกิโลเมตรโดยที่ขาผมแทบจะไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว ในเวลานั้นผมเฝ้ามองเข้าไปในสนาม ถ้าเป็นเมื่อ 20 ปีก่อน ผมคงจะได้ลงไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆแล้วสินะ
ผมยังคงไม่รู้ว่าใครหลายคนเขาออกวิ่งเพื่อค้นหาอะไร แต่สำหรับผม วันนี้มันค่อนข้างชัด ว่าผมออกวิ่งเพื่อไล่ตามอดีต ผมไม่ใช่คนที่ภูมิใจกับการบอกใครต่อใครว่าอดีตผมเคยพิชิตอะไรมา แต่มันสำคัญเหมือนกันที่จะบอกกับตัวเองว่า อะไรที่ผมเคยพิชิต มันก็จะต้องยอมสยบให้กับผมเหมือนเดิม ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร
ไปเถอะครับ ตื่นขึ้นมาแล้วออกวิ่งเพื่อค้นหาอะไรบางอย่างที่คุณต้องการ ไม่ว่ามันจะคือการวิ่งด้วยสองเท้าหรือวิ่งด้วยหัวใจ วิ่งในสนาม หรือวิ่งในอาชีพการงาน วิ่งเอาชนะใจตัวเองหรือวิ่งเอาชนะชีวิต หรือแม้กระทั่งวิ่งตามหาอดีตแบบผม ขอเพียงคุณไม่หยุดวิ่ง ผมเชื่อว่าคุณจะเจอ ขอเพียงอย่างเดียว อย่าพึ่งหยุดวิ่งเสียก่อน ก่อนที่คุณจะเข้าเส้นชัยนะครับ
มันเริ่มต้นแบบนั้น เพียงแค่รองเท้าคู่เดียว แต่หลังๆเท่าที่ผมสังเกต มันอาจจะไม่ใช่แค่นั้น อุปกรณ์จับเวลา วัดการเต้นของหัวใจ คำนวณอะไรต่อมิอะไร รวมไปถึงหูฟังก็เริ่มจะเป็นสิ่งจำเป็นมาอีกขั้น จากที่เคยคิดว่าวิ่งก็คือวิ่ง เราก็ต้องเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า วิ่งระยะทางเท่าไรเรียกว่าอะไร รวมไปถึงถ้าอายุเท่านี้ ควรจะวิ่งให้หัวใจเต้นเร็วขนาดไหน และถ้าเต้นขนาดไหน เรียกว่าวิ่งโซนไหน คือมันทำให้คนปกติธรรมดาที่ไม่ใช่นักกีฬา ต้องมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น จริงจังมากขึ้นด้วย
อีกอย่างที่น่าสนใจและเปลี่ยนแปลงไปในแง่ดีคือ ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มคนที่หลงใหลในการเล่นกีฬาอยู่แล้วตั้งแต่สมัยเด็กหรือวัยรุ่น พอมีอายุมากขึ้น เล่นไม่ไหว จึงหันมาวิ่ง แต่มันกลายเป็นว่า คนที่อาจจะไม่เคยออกกำลังกายเลย หรือไม่เคยเล่นกีฬาอะไรเลย ก็หันมาวิ่งกันด้วย เพราะอย่างที่บอก การเริ่มต้นวิ่งมันไม่ได้ยาก คือเราแค่ใส่รองเท้าออกมาวิ่ง เราก็วิ่งได้เลย มันก็เลยง่ายกว่าที่จะหันมาวิ่ง แทนที่จะเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างอื่น ในวัยที่อายุขึ้นต้นด้วยเลขสาม สี่ หรือห้า
ที่น่าสงสัยคือ ถ้าแค่วิ่งเพื่อสุขภาพ เราจำเป็นต้องจริงจังขนาดนี้กันหรือเปล่า อุปกรณ์ต้องครบขนาดนี้ไหม ต้องวิ่งระยะเป็นสิบยี่สิบกิโลเมตรกันขนาดนี้ไหม หรือจริงๆแล้ว เราต่างไม่ได้วิ่งเพื่อสุขภาพ แต่เราวิ่งเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง
หลังจากที่คนชั้นกลางในประเทศเราเริ่มออกวิ่งกันอย่างหนาตา มันมีทฤษฏีมากมายที่หลั่งไหลออกมาบอกว่า ทำไมเราจึงวิ่ง หลายคนบอกว่า หากเราวิ่งในตอนเช้าก่อนไปทำงาน มันจะทำให้สมองรู้สึกว่าเราได้ทำอะไรสำเร็จไปแล้วหนึ่งอย่าง หมายความว่าต่อให้วันนี้ของเราย่ำแย่อย่างไร เราก็ยังมีหนึ่งอย่างที่ดี ก็คือเอาชนะตัวเองได้ พาตัวเองลุกจากที่นอนไปวิ่งได้ บางคนก็บอกว่า ในระหว่างที่เราวิ่ง มันเป็นช่วงเวลาที่สมองปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย ยิ่งวิ่งไกลเท่าไร สมองก็ยิ่งต้องโฟกัสที่การวิ่ง ไม่สามารถวอกแวกไปคิดเรื่องอื่นได้ ทำให้เมื่อวิ่งเสร็จแล้ว ก็จะรู้สึกว่าสมองโล่งขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น
สำหรับสายโหด ที่วิ่งไกลหน่อยก็บอกว่า มันคือการปีนบันไดเอาชนะร่างกายไปทีละขั้น หลายคนในวัยสามสิบกว่าหรือสี่สิบ รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถประสบความสำเร็จในงานได้มากกว่านี้อีกแล้ว หรือไม่มีความท้าทายในด้านอื่นของชีวิตอีกแล้ว เพียงแค่ทำงานไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตไปวันๆ แต่การเอาชนะตัวเอง พาตัวเองไปวิ่งมาราธอนได้ ก็กลายเป็นความสำเร็จชิ้นใหม่ที่หอมหวาน เป็นความท้าทายรูปแบบใหม่ แบบนั้นก็สุขใจไปอีกทางนึง แต่สำหรับตัวผมเองนั้น โลกของการวิ่งมันก็มีที่ทางของมันอยู่ จะเหมือนหรือต่างกันก็ไม่รู้ แต่ผมจะเล่าให้ฟัง
ผมเริ่มซื้อรองเท้าวิ่งมาได้น่าจะสัก 3 – 4 ปี น่าจะเป็นช่วงก่อนที่การวิ่งจะได้รับความนิยมมากในหมู่คนเมืองไม่นานนัก ผมซื้อมาเพราะแถวบ้านแฟนมีสนามกีฬาที่ปรับปรุงลู่วิ่งใหม่ ลองไปวิ่งเล่นๆแล้วเห็นว่าบรรยากาศดี ก็เลยหารองเท้าดีๆติดไว้สักคู่นึง เวลาไปวิ่งจะได้ไม่เอาอาการบาดเจ็บกลับมาด้วย และช่วงนั้นผมก็เริ่มวิ่ง เดือนละครั้งหรือสองครั้ง ไม่บ่อยไปกว่านั้น
จนกระทั่งผมย้ายเข้าคอนโดซึ่งมีฟิตเนส คราวนี้ก็เริ่มวิ่งถี่ขึ้น สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง แล้วแต่เวลาและร่างกายจะเอื้ออำนวย แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้วิ่งไกลมากนัก วิ่งแค่ 3-4 กิโลเมตร และก็วิ่งด้วยสปีดที่เร็วกว่าเดินแค่เพียงนิดหน่อยเท่านั้น เพราะสาเหตุหลักๆที่วิ่ง คือวิ่งเพื่อให้พุงที่เริ่มย้อยนั้นลดลงมาบ้าง ก็เท่านั้นเอง
วิ่งไปได้สักพัก พอเริ่มมาติดตามโลกภายนอกเขาบ้าง ก็เลยเห็นว่า สมัยนี้แม้กระทั่งสาวๆที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เขาก็หันมาวิ่งกัน แถมเขายังวิ่งกันไปถึง 5 กิโลเมตร บางคนก็ขยับขึ้นไป 10 กิโลเมตร เราก็เลยพึ่งตระหนักว่า สงสัยเราจะวิ่งน้อยไปเสียแล้ว เอาเพียงแค่สนุกสนานอยู่คนเดียว เห็นท่าจะไม่ดีแน่
แต่ก็นั่นล่ะครับ ก็ยังไม่ได้จริงจังเท่าไร ขยับมาวิ่ง 5 กิโลบ้าง 6 กิโลบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ไปถึง 10 กิโลสักที ก็เลยต้องมานั่งถามตัวเองว่า ทำไมถึงไม่รู้สึกว่าการวิ่งมันมหัศจรรย์เหมือนที่ใครเขาบอก ไม่รู้สึกว่าการวิ่งมันเปลี่ยนชีวิตอะไรแม้แต่น้อย วิ่งก็คือวิ่ง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ผมค้นหาคำตอบนั้นมานานพอสมควรและแล้วในวันนี้ ผมก็ค้นเจอมันจนได้ ที่สำคัญคือ ผมเจอมันระหว่างกำลังวิ่งอยู่พอดี
ผมชอบเตะฟุตบอลมาตั้งแต่จำความได้ครับ ตอนเด็กมีความฝันเดียวคือการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ตอนสมัยปิดเทอมใหญ่มัธยมต้น ก็ไปซ้อมฟุตบอลค่ายฤดูร้อนกับทางทหารอากาศ ที่เขาเปิดให้ลูกหลานของทหารอากาศไปซ้อมกัน เราไม่ใช่ แต่มีเพื่อนชวนไป ก็เลยไปด้วยกัน
การซ้อมตอนนั้นก็แน่นอน ก่อนจะเริ่มทำอะไรก็ต้องวิ่งก่อน วิดพื้น เล่นกล้ามท้อง หลายต่อหลายท่า ไอ้เรายังเด็กก็เบื่อสิครับ อยากเล่นแต่ฟุตบอล ไม่ได้อยากซ้อม ไม่ได้อยากฟิตอะไรมากมาย สมัยเด็กเราวิ่งเท่าไรมันก็ไม่เหนื่อยอยู่แล้ว แต่ถึงจะไม่ชอบ เราก็ทำครับ ทำให้มันครบ ทำให้มันเสร็จ เราจะได้ลงซ้อมทีม ได้สัมผัสกับลูกฟุตบอลเสียที
ในสมัยมัธยมต้น นอกจากเราจะเล่นฟุตบอลตัวโรงเรียน เล่นกีฬาสี เราก็ยังถูกคัดเป็นนักวิ่งของโรงเรียนในตอนม.1 ด้วย เราคัดติด วิ่งเร็วติด 1 ใน 10 ของชั้นปี แต่เราไม่ชอบวิ่ง ก็เลยพยายามหนีซ้อม หนีแข่ง หลบอาจารย์อยู่เป็นประจำ ไม่รู้สิครับ ตอนนั้นมันรู้สึกว่าการวิ่งมันเป็นกีฬาที่ไม่เท่เอาเสียเลย ก็มันแทบไม่ต้องใช้ทักษะอะไรเลย เล่นฟุตบอลมันดูเท่กว่าตั้งเยอะ ซึ่งก็หนีไปจนอาจารย์เขาเบื่อ และจบมัธยมต้นไปโดยเราก็ไม่เคยได้ไปแข่งเลยสักครั้งนั่นล่ะครับ จากนั้นตอนมัธยมปลายก็ไม่ได้ไปซ้อมฟุตบอลที่ทหารอากาศอีกแล้ว แต่ยังคงเตะฟุตบอลอยู่ทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น และในวัยนั้น วิ่งเท่าไรมันก็ไม่เหนื่อย อีกทั้งเทคโนโลยีก็ยังไม่ดีเท่าสมัยนี้ เท่าให้เราไม่เคยรู้เลยว่า เราวิ่งกันไปวันละเท่าไรกันแน่
พอเข้ามหาวิทยาลัย ก็สมัครเล่นฟุตบอลให้กับคณะ เล่นฟุตบอลเฟรชชี่ สมัยนั้นร่างกายเรายังแข็งแรง แต่ก็ไม่ได้วิ่งเล่นเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนตอนมัธยมอีกแล้ว พอย้อนนึกกลับไปก็ค้นพบว่าเราจะวิ่งก็แต่ตอนที่รุ่นพี่ให้ซ้อมเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราก็จะเตะบอลเล่นอย่างเดียว ไม่มีการวอร์มหรือซ้อมความแข็งแกร่งอะไรทั้งนั้น ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่ ตรงเวลาที่เราต้องซ้อมเพื่อลงแข่งกับคณะอื่นนี่ล่ะครับ รุ่นพี่ให้เราวิ่ง 25 รอบสนามฟุตบอล ทุกวัน วิ่งให้เสร็จ ยืดเส้นยืดสายกันอีกหน่อย จากนั้นจึงค่อยลงซ้อมทีมกัน ซึ่งถ้าเราลองคำนวณกันดูก็จะค้นพบว่า ลู่วิ่งรอบสนามฟุตบอลนั้นมักจะมีระยะทางประมาณ 400 เมตรครับ เพราะฉะนั้น การวิ่ง 25 รอบสนาม หมายความว่า เราต้องวิ่ง 10 กิโลเมตรเป็นการวอร์มทุกวัน แล้วจากนั้นค่อยเอาแรงที่เหลือไปวิ่งเล่นฟุตบอลในสนาม ซึ่งก็น่าจะอีกหลายกิโลเมตรพอสมควร และมันก็เป็นแบบนั้นอยู่ตลอดช่วงปีหนึ่งของผมนั่นเองครับ
หลังจากนั้น ผมยังคงเล่นฟุตบอลอยู่เสมอ ยาวนานมาจนเมื่อสัก 4 – 5 ปีก่อนนี้เอง ที่เพิ่งจะเล่นน้อยลง จนกระทั่งแทบไม่ได้สัมผัสลูกฟุตบอลอีกเลยแล้วก็หันมาวิ่งแทน อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นล่ะครับ
สำหรับผม เมื่อย้อนเวลากลับไป ผมสัมผัสได้ว่า การวิ่งไม่เคยเป็นสิ่งที่ผมชอบเลยมาโดยตลอด เอาจริงๆในตอนเล่นฟุตบอลในสนาม ผมก็ไม่ค่อยวิ่งไล่บอลครับ สมัยนั้นนักเตะเก่งๆจะต้องรอให้เพื่อนแย่งบอลมาแล้วส่งมาให้เราทำเกม ทำประตู ผมชอบนักเตะแบบนั้น ก็เลยมีทัศนคติแบบนั้น ส่วนไอ้การวิ่งก่อนที่จะซ้อมก็อย่างที่เล่าล่ะครับ ทำไปเพื่อให้มันจบๆ ไม่ได้อยากวิ่งเลยแม้แต่น้อย บอกตามตรงผมรู้สึกว่ามันเสียเวลามาก อยากจะเอาเวลาทั้งหมดนั้นมาซ้อมฟุตบอลในสนามมากกว่า และความรู้สึกนั้น มันยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกอยู่เสมอว่า เหตุผลเดียวที่ผมไม่วิ่งระยะไกล เพราะรู้สึกว่ามันเสียเวลาครับ ให้เวลากับการวิ่งเกิน 1 ชั่วโมงผมก็จะเบื่อแล้ว อาจจะเพราะเราไม่เคยสนุกกับการวิ่งมาแต่ไหนแต่ไร และก็ไม่ได้รู้สึกว่าการวิ่งได้ไกลมันคือการเอาชนะตัวเองอย่างไร เพราะเราเคยชนะมาจนไม่รู้เท่าไรแล้วในสมัยวัยรุ่น มันอาจจะไม่ถึง 42 กิโลเมตร แต่ 21 กิโลเมตรนั้นถือว่าธรรมดามากในสมัยที่เรายังเด็ก นั่นล่ะครับ ความรู้สึกของผมเกี่ยวกับการวิ่ง จนกระทั่งวันนี้มาถึง
ผมเป็นหวัด เจ็บคอ มึนหัว รู้สึกไร้เรี่ยวแรง เหมือนไข้จะขึ้นมาเป็นอาทิตย์ วันนี้พึ่งจะรู้สึกดีขึ้น สัก 80 – 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแน่นอนว่าในอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นก็ไม่ได้วิ่งเลย เพราะแค่จะเดินก็ยังค่อนข้างจะมึนหัวแล้ว พอวันนี้เริ่มฟื้น ประกอบกับขับรถกลับมาที่บ้านแฟนพอดี ผมก็เลยตัดสินใจคว้ารองเท้าวิ่งแล้วออกไปวิ่งเสียหน่อย ถือเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งหลังจากพักมาเป็นอาทิตย์ และที่ต่างออกไปคือ ผมตั้งใจว่าจะวิ่งให้มากกว่าเดิม มากกว่าที่เคยวิ่ง
พอผ่านรอบที่แปด ซึ่งก็คือสามกิโลเมตรนิดๆ ผมก็เริ่มเหนื่อยล้า เนื่องจากไม่ได้วิ่งต่อเนื่องมาเป็นอาทิตย์ แต่ก็ยังกัดฟันที่จะไปต่อ เพราะตั้งใจไว้แล้วว่า อย่างน้อยที่สุดก็ขอสัก 15 รอบสนาม หรือประมาณหกกิโลด้วยกัน ก็เลยวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ช้าหน่อยแต่ก็ยังวิ่งต่อไป
เนื่องจากสนามที่ผมไปวิ่งนั้นเป็นสนามฟุตบอลด้วย ในสนามก็เลยมีคนเล่นฟุตบอลกันอยู่มากพอสมควร ผมก็วิ่งไปด้วย ดูเขาเล่นกันไปด้วย และพอความเหนื่อยล้ามาถึงจุดหนึ่ง ระยะทางมาถึงจุดหนึ่ง วินาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนเด็กผู้ชายคนนั้น คนที่เคยวิ่งแล้วมองดูคนเตะฟุตบอลเล่นกันในสนาม พลางคิดว่า เมื่อไรนะจะถึงเวลาที่เราจะได้ลงไปเล่นเสียที
ผมยิ่งวิ่ง วันเวลายิ่งย้อนกลับไป ผมยิ่งวิ่ง มันยิ่งเหมือนผมวิ่งย้อนไปในอดีต วิ่งไปหาวันวานที่เคยหอมหวาน แต่เป็นวันวานที่การวิ่งมันคือยาขม
เหงื่อเริ่มออกจนเสื้อผมไม่มีที่ว่างสำหรับความแห้ง ขาเริ่มล้า เอ็นร้อยหวายเริ่มตึง ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่า ถึงแม้ระยะทางจะเท่ากัน แต่เมื่อวันเวลามันผ่านไปแล้ว เส้นชัยที่ผมเคยเข้าเป็นประจำ เข้าจนไม่รู้สึกรู้สา มันกลับกลายเป็นเส้นชัยที่ผมเอื้อมไม่ถึง แต่ไม่รู้ทำไม ยิ่งวิ่งไกลเท่าไร ผมยิ่งมีความสุขขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้สิ ผมรู้สึกว่ายิ่งไกลออกไป มันยิ่งเหมือนผมกำลังวิ่งไล่เพื่อให้เข้าใกล้เด็กผู้ชายคนนั้น และในท้ายที่สุด ผมก็ไปถึง 25 รอบ หรือสิบกิโลเมตรโดยที่ขาผมแทบจะไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว ในเวลานั้นผมเฝ้ามองเข้าไปในสนาม ถ้าเป็นเมื่อ 20 ปีก่อน ผมคงจะได้ลงไปเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆแล้วสินะ
ผมยังคงไม่รู้ว่าใครหลายคนเขาออกวิ่งเพื่อค้นหาอะไร แต่สำหรับผม วันนี้มันค่อนข้างชัด ว่าผมออกวิ่งเพื่อไล่ตามอดีต ผมไม่ใช่คนที่ภูมิใจกับการบอกใครต่อใครว่าอดีตผมเคยพิชิตอะไรมา แต่มันสำคัญเหมือนกันที่จะบอกกับตัวเองว่า อะไรที่ผมเคยพิชิต มันก็จะต้องยอมสยบให้กับผมเหมือนเดิม ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร
ไปเถอะครับ ตื่นขึ้นมาแล้วออกวิ่งเพื่อค้นหาอะไรบางอย่างที่คุณต้องการ ไม่ว่ามันจะคือการวิ่งด้วยสองเท้าหรือวิ่งด้วยหัวใจ วิ่งในสนาม หรือวิ่งในอาชีพการงาน วิ่งเอาชนะใจตัวเองหรือวิ่งเอาชนะชีวิต หรือแม้กระทั่งวิ่งตามหาอดีตแบบผม ขอเพียงคุณไม่หยุดวิ่ง ผมเชื่อว่าคุณจะเจอ ขอเพียงอย่างเดียว อย่าพึ่งหยุดวิ่งเสียก่อน ก่อนที่คุณจะเข้าเส้นชัยนะครับ