"โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร"
Who do you want to become?
ผมจำได้ดีว่าการเดินทางมันเริ่มต้นขึ้นในวันนั้น ถึงแม้จะผ่านมานานแสนนาน แต่คุณก็รู้ว่าสำหรับเรื่องบางเรื่อง มันไม่เคยจางหายไปไหน ราวกับว่ามันมีลิ้นชักพิเศษ ที่พร้อมจะให้คุณดึงมันออกมา ในช่วงเวลาที่คิดถึง เราทุกคนต้องออกไปข้างหน้าห้อง เพื่อบอกให้คุณครูและเพื่อนๆได้รู้ว่าอนาคตของเราในตอนเติบโตขึ้นนั้น เราฝันเอาไว้อย่างไร หรือถ้าจะเข้าใจให้ง่ายกว่านั้น คุณครูถามเราทุกคนว่า… เด็กๆ
"โตขึ้นพวกหนูอยากเป็นอะไร"
เอาจริงๆคุณไม่มีทางรู้ได้ในช่วงประถมปีที่สามหรอกว่าโตขึ้นคุณอยากเป็นอะไร แต่เด็กทุกคนในห้องไม่มีทางเลือก และผมเองก็จำเป็นที่จะต้องเค้นมันออกมาให้ได้ เพื่อให้ช่วงเวลาเลวร้ายนี้จบลงไป ใจมันเต้นโครมครามตั้งแต่รู้ว่าจะต้องออกไปพูด ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองนั้นเกลียดการเป็นจุดเด่น เกลียดการไปยืนตรงนั้นแล้วปล่อยให้เพื่อนทุกคนมองมาที่ตัวเองเป็นตาเดียว แต่ในวันนี้มันแย่กว่านั้น เพราะไม่เพียงต้องออกไปยืน แต่ ณ ขณะนี้ที่กำลังจะถึงคิว ผมก็ยังไม่มีคำตอบที่ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ เพราะในสมองตอนนี้ มันแทบจะมีอาชีพที่รู้จัก นับได้ด้วยนิ้วมือเพียงข้างเดียว และในตอนนั้น ทางเลือกของผมมีเพียง หมอ ทหาร และครู อย่าไปพูดถึงคำว่า “แพทย์” หรือ “อาจารย์” ในวันนั้นเด็กน้อยรู้จักเพียงคำว่า “หมอ” หรือ “ครู” ซึ่งทั้งหมดนี้มีที่มาที่ไปง่ายมาก สองอันแรกคืออาชีพของพ่อ ส่วนอันหลังคืออาชีพที่กำลังสอนหนังสือผมอยู่ในขณะนี้
ย้อนกลับไปที่บ้าน พ่อกับแม่ผมเป็นทหาร และท่านรับราชการ เพื่อนทุกคนของพ่อกับแม่ก็ทำงานที่เดียวกันกับเขา นั่นทำให้ลูกของเขาไม่รู้จักอะไรอื่นอีกเลย จริงๆแล้วที่ทำงานพ่อซึ่งคือโรงพยาบาล ยังมีพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาล รวมไปถึงเจ้าหน้าที่อีกมากมายแต่สาบาน ผมไม่รู้จริงๆว่าอาชีพของพวกเขาเรียกว่าอะไร
เอาล่ะ หมดเวลาคิดแล้ว ถึงตาผมต้องเดินออกไปข้างนอกแล้วล่ะครับ
"ทำไมอาชีพของเพื่อนๆทุกคนดูน่าสนใจจัง" ผมอดคิดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ขออภัยที่จำไม่ได้ว่าเพื่อนๆอยากเป็นอะไรกันบ้าง แต่ผมจำความรู้สึกได้ รู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาในอนาคตช่างน่าสนใจ อาจจะเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมของเขา พ่อแม่ พี่ป้าน้าอา ของเขา หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับผม แน่นอน ไม่มีอะไรเหล่านั้นอยู่รอบตัว
"โตขึ้นผมอยากเป็นหมอครับ" ผมพูดออกไปอย่างนั้น เพราะช่างน้ำหนักแล้ว รู้สึกว่าคุณครูไม่มีความเท่อะไรเลย เป็นเพียงคนแก่ที่ต้องมาจัดการกับเด็กที่แสนจะวุ่นวายอย่างพวกเรา และทหารก็ไม่เท่เช่นกัน ถึงแม้ว่าบางคนใส่เครื่องแบบเต็มยศแล้วจะดูหล่อ แต่นึกถึงพวกเขาอีกกลุ่มนึง ที่ดูผิวคล้ำ หัวเกรียน ก็จะรู้สึกได้ว่า ไม่ดึงดูดสายตาเลยสักนิด แต่คุณลุงหมอ ที่ไปเจอเวลาไปที่ทำงานพ่อ กลับดูน่าลอกเลียนแบบมากกว่า พวกเขามักจะผิวขาว หน้ายิ้ม พูดจาเพราะ น้ำเสียงนิ่งเรียบ และมาพร้อมเครื่องแต่งกายที่ดูสะอาดสะอ้าน เพราะฉะนั้นเมื่อคิดคำนวณดีแล้ว จึงได้ตอบแบบนั้นออกไป แต่เมื่อครูถามเหตุผล ผมกลับตอบอย่างอื่น แน่นอน เสียงชื่นชมจากคุณครูก็สวนกลับมาในทันทีที่พูดจบประโยค
"ทำไมหนูถึงอยากเป็นหมอล่ะลูก"
"เพราะว่าอยากจะช่วยเหลือคนอื่นที่เจ็บป่วยน่ะครับ"
ไม่ ผมไม่ใช่เด็กตอแหล เป็นแค่เด็กที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง เอาตัวรอดได้ ก็เท่านั้น
นับตั้งแต่นั้นมา ผมเอาตัวรอดด้วยการอยากโตเป็น “หมอ” อยู่เสมอ มันทำให้ปัญหานี้คลี่คลายลงไปได้ทุกครั้งที่มีคนถาม แต่ลึกๆแล้วผมไม่อยากเป็นหรอก เพราะที่นั่น ที่ทำงานของพ่อ มันมีแต่คนป่วย คนเจ็บ มีแต่เลือด มีแต่กลิ่นยา ไม่มีใครที่นั่นมีหน้าตาที่มีความสุขระหว่างรอพบคุณพ่อหรือคุณลุงหมอเลย ไม่เคยมีเลย
"ถ้าไม่อยากเป็นหมอ แล้วเอกอยากเป็นอะไรล่ะลูก" พ่อเคยถามแบบนี้ ในตอนที่ผมโตขึ้นมาอีกหน่อย น่าจะประถมหกเห็นจะได้ ตอนนี้ผมเริ่มรู้เรื่องมากขึ้นแล้ว เริ่มได้อ่านหนังสือ ดูทีวี ฟังวิทยุ หรือฟังผู้ใหญ่คุยกันมากขึ้น เริ่มรู้แล้วว่า พ่อกับแม่ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในประเภท “คนรวย” ผมเริ่มเข้าใจว่าทำไมเราไม่มีบ้านที่ใหญ่เหมือนคนอื่นเขา และทำไมถึงต้องนั่งรถเมล์ไปโรงเรียน เพราะฉะนั้น ความฝันของผมเริ่มมีจุดที่สำคัญที่สุดที่ต้องคิดถึง นั่นคือเงินยังไงล่ะ
"เอกอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากเป็นนักประดิษฐ์”
ผมครุ่นคิดอยู่ในหัวสักพัก และตอบพ่อออกไปแบบนั้น
ผู้ใหญ่นี่ไม่รู้ทำไม เวลาถามคำถามแรกทีไร คำถามต่อไปต้องถามหา “เหตุผล” ทุกที แต่ไม่ต้องห่วง เพราะรอบนี้ ผมเตรียมไว้ให้แล้ว
"เอกไม่อยากทำงานเยอะ อยากจะคิดอะไรขึ้นมาสักอย่าง ประดิษฐ์มันออกมาขาย แล้วก็ทำให้คนทั้งโลกซื้อมัน แล้วเราก็จะรวยกันไงพ่อ”
ผมจำไม่ได้ว่าพ่อตอบว่าอะไร แต่จำได้ว่าพ่อมักจะเอาคำตอบนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟังอยู่บ่อยครั้ง ผมคิดเอาเองว่าพ่อคงจะดีใจที่มีลูกฉลาด มีความคิดที่อยากจะไม่ต้องทำงานหนัก แต่ก็ร่ำรวยหากพอมานึกอีกครั้งในตอนที่โตขึ้น ก็กลับรู้สึกว่าในวันนั้น ผมไม่ได้ฉลาด เพียงแต่ขี้เกียจมากกว่า ก็เลยตอบแบบนั้นไปแต่อย่างไรก็เริ่มรู้แล้วว่า ไม่อยากทำงานที่จำเจ ทำอะไรซ้ำๆเหมือนกันทุกวัน ไม่เคยอยากจะเป็นเหมือนน้าๆที่ขายของกินอยู่หน้าปากซอยบ้าน ไม่ว่าเขาจะขายอะไร ขายดีแค่ไหน อร่อยจนคนซื้อมากมายเท่าไร ก็ไม่เคยอยากเป็นแบบเขา เพราะผมไม่อยากจะทำงานแบบเดียวกันในทุกวัน เพียงแต่ถ้าคุณจำโลกในสมัยนั้น เมื่อสักเกือบสามสิบปีที่แล้วได้ เราไม่ได้พูดถึงงานอันเป็นที่รัก ไม่มีคำว่า passion เราไม่ต้องการแรงบันดาลใจ เราไม่ต้องเปลี่ยนโลก เราเพียงแค่ทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว งานมีหน้าทีเพียงเท่านั้น
แล้วพ่อก็เปลี่ยนผมไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันเกิดขึ้นและคงอยู่มาอย่างยาวนาน
ผมตื่นมาเพื่อแต่งตัวไปโรงเรียนในตอนประถมหก มันมีวันนึงที่ดูเหมือนจะเริ่มต้นด้วยการเป็นวันธรรมดา ผมไม่คิดแม้แต่น้อยว่าวันนี้ มันจะเปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล จริงๆมันมีกลิ่นมาก่อนแล้ว ถ้าจำไม่ผิดคือในวันที่ทีมสีเขียวเจอกับทีมสีขาวในนัดเปิดสนามแต่ที่มันแจ่มชัดคือเช้าวันนั้น ที่ทีมสีเหลืองดวลจุดโทษกับทีมสีน้ำเงิน และหัวใจของผมก็มอบให้กับผู้ชายผมเปียคนนั้น ที่ยืนเท้าเอวดูความพ่ายแพ้ของตัวเองหลุดลอยข้ามคานไปพร้อมกับลูกยิงจุดโทษของเขา
ใช่ครับ ทีมสีน้ำเงินนั้นคืออิตาลี และผู้ชายคนนั้นคือ โรแบร์โต้ บักโจ้
นับจากนั้นมา ผมใช้ชีวิตด้วยความฝันที่จะเติบโตมาในอาชีพเดียวมาโดยตลอด นั่นคือการเป็นนักฟุตบอล แต่พูดก็พูด ในช่วงเวลานั้นมันเลือนรางเหลือเกิน ผมรู้เพียงแค่มันจะมีความสุข ไม่รู้เลยว่านักฟุตบอลรวยหรือเปล่า มีเงินพอที่จะเลี้ยงครอบครัวหรือไม่ และกรอบของความฝันในตอนต้นนั้นก็อยู่แค่เพียงภายในประเทศ เพราะผมไม่รู้ว่าในยุโรป มันมีโลกที่สวยงามกว่าที่บ้านเราอยู่ ซึ่งในบ้านเรา ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่านักฟุตบอลในวันนั้น เขาแข่งอะไรกันที่ไหน ปัญหาเดียวที่เจอมาตลอด และมันอาจจะทำให้ความฝันนี้ไปได้ไม่ถึงปลายทาง นั่นคือผมเป็นเด็กเกรดดี จบประถมด้วยการได้เกรด 3 ตัวเดียวตลอดการเรียนหกปี และไม่ว่าจะเป็นคุณค่าแบบไหนที่ยึดถืออยู่ในตอนนั้นก็ไม่ทราบได้ ผมไม่เคยยอมให้เกรดมันน้อยลง ไม่เคยยอมให้ความมุ่งมั่นในการเรียนมันหายไป มันอาจจะย้อนแย้ง เมื่อมองว่า มันไม่ได้มีส่วนช่วยทำให้ความฝันเป็นจริงเลย แต่ถึงกระนั้นผมก็เอาทั้งสองทาง ฟุตบอลก็จะเตะ เรียนก็จะเรียน แต่มันก็มีสั่นคลอนไปบ้าง ในวันที่สอบเข้าเรียนม.1 ได้เป็นอันดับสองของโรงเรียนประจำอำเภอ ในขณะที่ฝีมือการเตะฟุตบอลยังไม่ก้าวหน้าไปไหน
ผมสมัครเล่นฟุตบอลเป็นนักกีฬาโรงเรียน อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับฟุตบอลทุกวัน ทุกวันจากวันแรกในตอนมัธยมต้น ไปจนกระทั่งเริ่มต้นทำงานไปอีกหลายปี แต่เรื่องเรียนก็ไม่เคยทิ้ง อาจารย์เคยบังคับให้วิ่งและจับเวลา เพื่อคัดเลือกนักกีฬาวิ่งตัวโรงเรียน เพื่อไปแข่งกับโรงเรียนอื่น แข่งระดับจังหวัด แต่ผมไม่เคยวอกแวก ใจมีเพียงฟุตบอลเท่านั้น หากแต่ไม่เคยสังเกต ไม่เคยรู้เลยว่า ระดับฝีเท้าในตอนนั้น มันไม่มีทางไปถึงเป้าหมาย
ปิดเทอมใหญ่ในช่วงมัธยมต้น ก็ไปเข้าค่ายซ้อมฟุตบอล สมัยนั้นทหารอากาศเป็นทีมที่โด่งดังที่สุด และผมก็ไปเข้าค่ายอยู่ที่นั่นในช่วงปิดเทอม ทุกอย่างเหมือนความฝัน ผมเกลียดช่วงสงกรานต์ เพราะต้องหยุดเตะบอลอย่างยาวนานหลายวัน พ่อบอกว่าช่วงนั้นผมขยันขันแข็งกว่าปกติมาก ต้องออกจากบ้านหกโมงครึ่งเพื่อไปซ้อมฟุตบอล ในขณะที่เวลาไปเรียน ออกจากบ้านใกล้ๆแปดโมงหรือแปดโมงนิดๆด้วยซ้ำ
ด้วยรูปร่างอันผอมบางของผม มีผู้ใหญ่บางคนแซวว่าหุ่นไม่เหมือนนักกีฬา มันเหมือนเด็กติดยามากกว่าผมได้แต่ยิ้มเพราะไม่รู้จะตอบโต้เขาอย่างไร และเมื่อส่องกระจกดู ก็ต้องยอมรับ ว่ารูปร่างมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกเขา คือเรื่องบางเรื่อง ถึงจะเป็นเรื่องจริง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดมันออกไปทั้งหมดหรอก คุณว่าจริงไหม
จะว่ากันจริงๆ เมื่อย้อนกลับไปมองในวันนั้น ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความฝันจริงๆหรอก ผมทุ่มเทให้กับมันมากพอสมควร ซ้อมทุกวันก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น และในวันที่โตขึ้น ผมก็ถึงได้รู้ว่า พ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบเท่าไร ที่ผมบ้าเตะฟุตบอล เพราะเขากลัวจะบาดเจ็บ ด้วยรูปร่างที่ไม่น่าจะปะทะกับใครเขาได้ และด้วยเกรดของผม ที่ถ้าจำไม่ผิด น่าจะได้เกรดสี่ทุกตัว หรือถ้าจะมีพลาดไปบ้างก็น่าจะไม่กี่ครั้ง นั่นทำให้พวกเขาหวังกับผมมากกว่านั้น เพราะอย่างที่บอกว่าในสมัยนั้น นักฟุตบอลไม่ใช่อาชีพที่น่าสนับสนุนเหมือนในวันนี้ แต่ผมก็ไม่รู้จริงๆว่า ไอ้เกรดที่มีนั้น มันจะเอาไปทำอะไรได้ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกเรียนต่อหลังจบม.3 ผมจึงเลือกเรียนต่อมัธยมที่โรงเรียนเดิม หรือจะเรียกอีกแบบว่า ผมไม่ได้เลือกอะไรเลยก็ว่าได้
มันมีทั้งเพื่อนที่เลือกไปเรียนโรงเรียนที่ดีกว่าในกรุงเทพ ซึ่งผมก็มองไม่เห็นความจำเป็นว่าจะเลือกไปนั่งรถไกลขึ้น รวมไปถึงต้องตื่นเช้าขึ้นทำไมกัน มีบางคนไปเรียนเตรียมวิศวะ เพื่อจะได้จบแล้วไปต่อคณะวิศวะในตอนปริญญาตรีได้ง่ายขึ้น ไม่เลย ผมไม่เคยคิดอะไรไกลขนาดนั้น อีกทั้งบางคนเปลี่ยนสาย ไปเรียนสายศิลป์ภาษา บางคนออกไปเรียนสายอาชีพ ดูเหมือนทุกคนมีทางเลือกให้กับชีวิตตัวเอง แต่สำหรับผม ไม่เลย ผมไม่เคยรู้
ตอนที่ใกล้จะจบมัธยมปีที่สาม เมื่อรู้แล้วว่าเพื่อนหลายต่อหลายคนเริ่มเลือกทางเดินชีวิตที่ต่างออกไป ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่า มันมีอะไรบางอย่างที่ผมกำลังขาดไป นั่นคือผมไม่มีเข็มทิศให้กับชีวิตตัวเอง ว่าจะไปทางใด เปรียบไปก็เหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ปล่อยให้ตัวเองโต้คลื่นแห่งชีวิตไปเรื่อยๆ ฟุตบอลที่รักก็เล่นได้ไม่เก่งเท่ากับความทุ่มเทที่ลงไป การเรียนก็ไม่รู้ว่าจะต้องเรียนอะไรต่อถึงจะดี หากแต่ผมโชคดีเหลือเกินที่ไม่เคยละทิ้งมัน จะเป็นตายร้ายดีก็จะไม่ยอมให้เกรดน้อยลงไป และในวันนั้น ผมไม่เคยรู้เลยว่า เพื่อนบางคนที่ไม่เจอกันในตอนขึ้นม.4 ไม่ใช่ว่าเขาไปเรียนที่อื่น แต่เขาไม่ได้เรียนต่อเลยต่างหาก
และบางคนผมก็ได้ยินข่าวในตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย ว่าเขาโดนตำรวจจับเพราะค้ายา บางคนก็ตายเพราะยาเสพติดบางตัว หรือบางคนก็เริ่มต้นอนาคตของเขา ด้วยการเป็นกระเป๋ารถสองแถวรับส่งผู้โดยสาร
ถึงแม้จะไม่ได้เลือก แต่ก็ถือว่าโชคดี ที่เส้นทางของผมไม่ได้เลวร้ายนัก
มันเป็นคำตอบที่ยากนะครับ สำหรับโลกในยุคสมัยนั้น ที่จะต้องตอบว่า “โตขึ้นเราอยากเป็นอะไร” ในเมื่อเราไม่มี google ให้ search ดูว่า ในโลกนี้มีอาชีพอะไรบ้าง ชีวิตเราฝากไว้กับคุณครูแนะแนว ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่กรรมแต่ดวงของใคร ว่าจะเจอครูแนะแนวที่จุดประกายทางความคิดให้เราได้ขนาดไหน อีกอย่างนึงคือเราเติบโตมาโดยที่แทบจะไม่เคยถูกสอนให้คิดอะไรเองเลย ทุกอย่างถูกกำหนดไว้โดยผู้ใหญ่เสมอ เราต้องทำตามที่พ่อแม่ขีดไว้ทุกอย่าง แล้วเช้าวันนึงเขาก็รวมหัวกับคุณครู แล้วมารุมถามเราว่า โตขึ้นเราอยากจะเดินไปในเส้นทางไหน เอาจริงๆถ้าไม่กลัวว่าจะกลายเป็นเด็กที่ก้าวร้าว เราก็อยากจะถามเหมือนกันว่า แล้วสิ่งที่บังคับให้เราทำอยู่นี้ มันจะพาเราไปทางไหนเหรอ มันจะทำให้เรา โตขึ้นไปเป็นอะไรเหรอ หรือถ้าทุกคนก็ไม่รู้ และจะบังคับให้เราทำ…ทำไมกัน
ผมอยากเป็นเด็กที่ได้เรียนเปียโน เรียนเต้น เรียนร้องเพลง เรียนบัลเลย์ เรียนเทนนิส หรือแม้กระทั่งเรียนกีตาร์ เหมือนกับเด็กที่พ่อแม่มีฐานะในสมัยนี้ได้เรียนกันเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็มีโอกาสได้เผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต เพื่อที่จะได้รู้ว่าอะไรชอบ อะไรไม่ชอบ ดีกว่าต้องมานั่งคิดเองเออเองเหมือนในยุคสมัยของผม แต่สิ่งที่จริงแท้ที่สุดในชีวิตสิ่งนึงก็คือ ไม่ว่าคุณจะตอบคำถามถึงอนาคตของตัวเองได้หรือไม่ก็ตาม แต่อนาคตของคุณก็จะต้องเกิดขึ้น เวลาไม่เคยหยุดรอให้คุณได้คำตอบเสียก่อน แล้วค่อยเดินต่อไป แต่เวลายังคงเดินไปแบบนั้น สม่ำเสมอ คงเดิมไม่เคยเปลี่ยน ผมเกลียดตอนเย็นวันอาทิตย์อยู่เสมอมาตั้งแต่จำความได้ เพราะไม่อยากไปโรงเรียนในเช้าวันจันทร์ ที่ไม่อยากไป ก็เพราะไม่รู้จะเรียนไปเพื่ออะไร ผมมองไม่เห็นปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ แต่ถึงกระนั้น ไม่มีค่ำวันอาทิตย์ไหนเลย ที่เช้าวันจันทร์ไม่มาถึง ไม่ว่าผมจะร้องไห้ฟูมฟายมากขนาดไหน มันก็ไม่เคยมีประโยชน์
และจนกระทั่งผมจบมัธยมต้น ก็สามารถสรุปได้โดยง่ายว่า “โตขึ้นผมอยากเป็นอะไร” เป็นคำถามที่ผมไม่เคยตอบตัวเองได้ชัดๆเลยสักครั้ง จนกระทั่งวัย 15 ขวบ กำลังคืบคลานเข้ามาถึง
"โตขึ้นพวกหนูอยากเป็นอะไร"
เอาจริงๆคุณไม่มีทางรู้ได้ในช่วงประถมปีที่สามหรอกว่าโตขึ้นคุณอยากเป็นอะไร แต่เด็กทุกคนในห้องไม่มีทางเลือก และผมเองก็จำเป็นที่จะต้องเค้นมันออกมาให้ได้ เพื่อให้ช่วงเวลาเลวร้ายนี้จบลงไป ใจมันเต้นโครมครามตั้งแต่รู้ว่าจะต้องออกไปพูด ผมรู้ตัวดีว่าตัวเองนั้นเกลียดการเป็นจุดเด่น เกลียดการไปยืนตรงนั้นแล้วปล่อยให้เพื่อนทุกคนมองมาที่ตัวเองเป็นตาเดียว แต่ในวันนี้มันแย่กว่านั้น เพราะไม่เพียงต้องออกไปยืน แต่ ณ ขณะนี้ที่กำลังจะถึงคิว ผมก็ยังไม่มีคำตอบที่ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ เพราะในสมองตอนนี้ มันแทบจะมีอาชีพที่รู้จัก นับได้ด้วยนิ้วมือเพียงข้างเดียว และในตอนนั้น ทางเลือกของผมมีเพียง หมอ ทหาร และครู อย่าไปพูดถึงคำว่า “แพทย์” หรือ “อาจารย์” ในวันนั้นเด็กน้อยรู้จักเพียงคำว่า “หมอ” หรือ “ครู” ซึ่งทั้งหมดนี้มีที่มาที่ไปง่ายมาก สองอันแรกคืออาชีพของพ่อ ส่วนอันหลังคืออาชีพที่กำลังสอนหนังสือผมอยู่ในขณะนี้
ย้อนกลับไปที่บ้าน พ่อกับแม่ผมเป็นทหาร และท่านรับราชการ เพื่อนทุกคนของพ่อกับแม่ก็ทำงานที่เดียวกันกับเขา นั่นทำให้ลูกของเขาไม่รู้จักอะไรอื่นอีกเลย จริงๆแล้วที่ทำงานพ่อซึ่งคือโรงพยาบาล ยังมีพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาล รวมไปถึงเจ้าหน้าที่อีกมากมายแต่สาบาน ผมไม่รู้จริงๆว่าอาชีพของพวกเขาเรียกว่าอะไร
เอาล่ะ หมดเวลาคิดแล้ว ถึงตาผมต้องเดินออกไปข้างนอกแล้วล่ะครับ
"ทำไมอาชีพของเพื่อนๆทุกคนดูน่าสนใจจัง" ผมอดคิดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ขออภัยที่จำไม่ได้ว่าเพื่อนๆอยากเป็นอะไรกันบ้าง แต่ผมจำความรู้สึกได้ รู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาในอนาคตช่างน่าสนใจ อาจจะเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมของเขา พ่อแม่ พี่ป้าน้าอา ของเขา หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับผม แน่นอน ไม่มีอะไรเหล่านั้นอยู่รอบตัว
"โตขึ้นผมอยากเป็นหมอครับ" ผมพูดออกไปอย่างนั้น เพราะช่างน้ำหนักแล้ว รู้สึกว่าคุณครูไม่มีความเท่อะไรเลย เป็นเพียงคนแก่ที่ต้องมาจัดการกับเด็กที่แสนจะวุ่นวายอย่างพวกเรา และทหารก็ไม่เท่เช่นกัน ถึงแม้ว่าบางคนใส่เครื่องแบบเต็มยศแล้วจะดูหล่อ แต่นึกถึงพวกเขาอีกกลุ่มนึง ที่ดูผิวคล้ำ หัวเกรียน ก็จะรู้สึกได้ว่า ไม่ดึงดูดสายตาเลยสักนิด แต่คุณลุงหมอ ที่ไปเจอเวลาไปที่ทำงานพ่อ กลับดูน่าลอกเลียนแบบมากกว่า พวกเขามักจะผิวขาว หน้ายิ้ม พูดจาเพราะ น้ำเสียงนิ่งเรียบ และมาพร้อมเครื่องแต่งกายที่ดูสะอาดสะอ้าน เพราะฉะนั้นเมื่อคิดคำนวณดีแล้ว จึงได้ตอบแบบนั้นออกไป แต่เมื่อครูถามเหตุผล ผมกลับตอบอย่างอื่น แน่นอน เสียงชื่นชมจากคุณครูก็สวนกลับมาในทันทีที่พูดจบประโยค
"ทำไมหนูถึงอยากเป็นหมอล่ะลูก"
"เพราะว่าอยากจะช่วยเหลือคนอื่นที่เจ็บป่วยน่ะครับ"
ไม่ ผมไม่ใช่เด็กตอแหล เป็นแค่เด็กที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง เอาตัวรอดได้ ก็เท่านั้น
นับตั้งแต่นั้นมา ผมเอาตัวรอดด้วยการอยากโตเป็น “หมอ” อยู่เสมอ มันทำให้ปัญหานี้คลี่คลายลงไปได้ทุกครั้งที่มีคนถาม แต่ลึกๆแล้วผมไม่อยากเป็นหรอก เพราะที่นั่น ที่ทำงานของพ่อ มันมีแต่คนป่วย คนเจ็บ มีแต่เลือด มีแต่กลิ่นยา ไม่มีใครที่นั่นมีหน้าตาที่มีความสุขระหว่างรอพบคุณพ่อหรือคุณลุงหมอเลย ไม่เคยมีเลย
"ถ้าไม่อยากเป็นหมอ แล้วเอกอยากเป็นอะไรล่ะลูก" พ่อเคยถามแบบนี้ ในตอนที่ผมโตขึ้นมาอีกหน่อย น่าจะประถมหกเห็นจะได้ ตอนนี้ผมเริ่มรู้เรื่องมากขึ้นแล้ว เริ่มได้อ่านหนังสือ ดูทีวี ฟังวิทยุ หรือฟังผู้ใหญ่คุยกันมากขึ้น เริ่มรู้แล้วว่า พ่อกับแม่ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในประเภท “คนรวย” ผมเริ่มเข้าใจว่าทำไมเราไม่มีบ้านที่ใหญ่เหมือนคนอื่นเขา และทำไมถึงต้องนั่งรถเมล์ไปโรงเรียน เพราะฉะนั้น ความฝันของผมเริ่มมีจุดที่สำคัญที่สุดที่ต้องคิดถึง นั่นคือเงินยังไงล่ะ
"เอกอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ อยากเป็นนักประดิษฐ์”
ผมครุ่นคิดอยู่ในหัวสักพัก และตอบพ่อออกไปแบบนั้น
ผู้ใหญ่นี่ไม่รู้ทำไม เวลาถามคำถามแรกทีไร คำถามต่อไปต้องถามหา “เหตุผล” ทุกที แต่ไม่ต้องห่วง เพราะรอบนี้ ผมเตรียมไว้ให้แล้ว
"เอกไม่อยากทำงานเยอะ อยากจะคิดอะไรขึ้นมาสักอย่าง ประดิษฐ์มันออกมาขาย แล้วก็ทำให้คนทั้งโลกซื้อมัน แล้วเราก็จะรวยกันไงพ่อ”
ผมจำไม่ได้ว่าพ่อตอบว่าอะไร แต่จำได้ว่าพ่อมักจะเอาคำตอบนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟังอยู่บ่อยครั้ง ผมคิดเอาเองว่าพ่อคงจะดีใจที่มีลูกฉลาด มีความคิดที่อยากจะไม่ต้องทำงานหนัก แต่ก็ร่ำรวยหากพอมานึกอีกครั้งในตอนที่โตขึ้น ก็กลับรู้สึกว่าในวันนั้น ผมไม่ได้ฉลาด เพียงแต่ขี้เกียจมากกว่า ก็เลยตอบแบบนั้นไปแต่อย่างไรก็เริ่มรู้แล้วว่า ไม่อยากทำงานที่จำเจ ทำอะไรซ้ำๆเหมือนกันทุกวัน ไม่เคยอยากจะเป็นเหมือนน้าๆที่ขายของกินอยู่หน้าปากซอยบ้าน ไม่ว่าเขาจะขายอะไร ขายดีแค่ไหน อร่อยจนคนซื้อมากมายเท่าไร ก็ไม่เคยอยากเป็นแบบเขา เพราะผมไม่อยากจะทำงานแบบเดียวกันในทุกวัน เพียงแต่ถ้าคุณจำโลกในสมัยนั้น เมื่อสักเกือบสามสิบปีที่แล้วได้ เราไม่ได้พูดถึงงานอันเป็นที่รัก ไม่มีคำว่า passion เราไม่ต้องการแรงบันดาลใจ เราไม่ต้องเปลี่ยนโลก เราเพียงแค่ทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว งานมีหน้าทีเพียงเท่านั้น
แล้วพ่อก็เปลี่ยนผมไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันเกิดขึ้นและคงอยู่มาอย่างยาวนาน
ผมตื่นมาเพื่อแต่งตัวไปโรงเรียนในตอนประถมหก มันมีวันนึงที่ดูเหมือนจะเริ่มต้นด้วยการเป็นวันธรรมดา ผมไม่คิดแม้แต่น้อยว่าวันนี้ มันจะเปลี่ยนชีวิตของผมไปตลอดกาล จริงๆมันมีกลิ่นมาก่อนแล้ว ถ้าจำไม่ผิดคือในวันที่ทีมสีเขียวเจอกับทีมสีขาวในนัดเปิดสนามแต่ที่มันแจ่มชัดคือเช้าวันนั้น ที่ทีมสีเหลืองดวลจุดโทษกับทีมสีน้ำเงิน และหัวใจของผมก็มอบให้กับผู้ชายผมเปียคนนั้น ที่ยืนเท้าเอวดูความพ่ายแพ้ของตัวเองหลุดลอยข้ามคานไปพร้อมกับลูกยิงจุดโทษของเขา
ใช่ครับ ทีมสีน้ำเงินนั้นคืออิตาลี และผู้ชายคนนั้นคือ โรแบร์โต้ บักโจ้
นับจากนั้นมา ผมใช้ชีวิตด้วยความฝันที่จะเติบโตมาในอาชีพเดียวมาโดยตลอด นั่นคือการเป็นนักฟุตบอล แต่พูดก็พูด ในช่วงเวลานั้นมันเลือนรางเหลือเกิน ผมรู้เพียงแค่มันจะมีความสุข ไม่รู้เลยว่านักฟุตบอลรวยหรือเปล่า มีเงินพอที่จะเลี้ยงครอบครัวหรือไม่ และกรอบของความฝันในตอนต้นนั้นก็อยู่แค่เพียงภายในประเทศ เพราะผมไม่รู้ว่าในยุโรป มันมีโลกที่สวยงามกว่าที่บ้านเราอยู่ ซึ่งในบ้านเรา ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่านักฟุตบอลในวันนั้น เขาแข่งอะไรกันที่ไหน ปัญหาเดียวที่เจอมาตลอด และมันอาจจะทำให้ความฝันนี้ไปได้ไม่ถึงปลายทาง นั่นคือผมเป็นเด็กเกรดดี จบประถมด้วยการได้เกรด 3 ตัวเดียวตลอดการเรียนหกปี และไม่ว่าจะเป็นคุณค่าแบบไหนที่ยึดถืออยู่ในตอนนั้นก็ไม่ทราบได้ ผมไม่เคยยอมให้เกรดมันน้อยลง ไม่เคยยอมให้ความมุ่งมั่นในการเรียนมันหายไป มันอาจจะย้อนแย้ง เมื่อมองว่า มันไม่ได้มีส่วนช่วยทำให้ความฝันเป็นจริงเลย แต่ถึงกระนั้นผมก็เอาทั้งสองทาง ฟุตบอลก็จะเตะ เรียนก็จะเรียน แต่มันก็มีสั่นคลอนไปบ้าง ในวันที่สอบเข้าเรียนม.1 ได้เป็นอันดับสองของโรงเรียนประจำอำเภอ ในขณะที่ฝีมือการเตะฟุตบอลยังไม่ก้าวหน้าไปไหน
ผมสมัครเล่นฟุตบอลเป็นนักกีฬาโรงเรียน อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับฟุตบอลทุกวัน ทุกวันจากวันแรกในตอนมัธยมต้น ไปจนกระทั่งเริ่มต้นทำงานไปอีกหลายปี แต่เรื่องเรียนก็ไม่เคยทิ้ง อาจารย์เคยบังคับให้วิ่งและจับเวลา เพื่อคัดเลือกนักกีฬาวิ่งตัวโรงเรียน เพื่อไปแข่งกับโรงเรียนอื่น แข่งระดับจังหวัด แต่ผมไม่เคยวอกแวก ใจมีเพียงฟุตบอลเท่านั้น หากแต่ไม่เคยสังเกต ไม่เคยรู้เลยว่า ระดับฝีเท้าในตอนนั้น มันไม่มีทางไปถึงเป้าหมาย
ปิดเทอมใหญ่ในช่วงมัธยมต้น ก็ไปเข้าค่ายซ้อมฟุตบอล สมัยนั้นทหารอากาศเป็นทีมที่โด่งดังที่สุด และผมก็ไปเข้าค่ายอยู่ที่นั่นในช่วงปิดเทอม ทุกอย่างเหมือนความฝัน ผมเกลียดช่วงสงกรานต์ เพราะต้องหยุดเตะบอลอย่างยาวนานหลายวัน พ่อบอกว่าช่วงนั้นผมขยันขันแข็งกว่าปกติมาก ต้องออกจากบ้านหกโมงครึ่งเพื่อไปซ้อมฟุตบอล ในขณะที่เวลาไปเรียน ออกจากบ้านใกล้ๆแปดโมงหรือแปดโมงนิดๆด้วยซ้ำ
ด้วยรูปร่างอันผอมบางของผม มีผู้ใหญ่บางคนแซวว่าหุ่นไม่เหมือนนักกีฬา มันเหมือนเด็กติดยามากกว่าผมได้แต่ยิ้มเพราะไม่รู้จะตอบโต้เขาอย่างไร และเมื่อส่องกระจกดู ก็ต้องยอมรับ ว่ารูปร่างมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกเขา คือเรื่องบางเรื่อง ถึงจะเป็นเรื่องจริง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดมันออกไปทั้งหมดหรอก คุณว่าจริงไหม
จะว่ากันจริงๆ เมื่อย้อนกลับไปมองในวันนั้น ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความฝันจริงๆหรอก ผมทุ่มเทให้กับมันมากพอสมควร ซ้อมทุกวันก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น และในวันที่โตขึ้น ผมก็ถึงได้รู้ว่า พ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบเท่าไร ที่ผมบ้าเตะฟุตบอล เพราะเขากลัวจะบาดเจ็บ ด้วยรูปร่างที่ไม่น่าจะปะทะกับใครเขาได้ และด้วยเกรดของผม ที่ถ้าจำไม่ผิด น่าจะได้เกรดสี่ทุกตัว หรือถ้าจะมีพลาดไปบ้างก็น่าจะไม่กี่ครั้ง นั่นทำให้พวกเขาหวังกับผมมากกว่านั้น เพราะอย่างที่บอกว่าในสมัยนั้น นักฟุตบอลไม่ใช่อาชีพที่น่าสนับสนุนเหมือนในวันนี้ แต่ผมก็ไม่รู้จริงๆว่า ไอ้เกรดที่มีนั้น มันจะเอาไปทำอะไรได้ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกเรียนต่อหลังจบม.3 ผมจึงเลือกเรียนต่อมัธยมที่โรงเรียนเดิม หรือจะเรียกอีกแบบว่า ผมไม่ได้เลือกอะไรเลยก็ว่าได้
มันมีทั้งเพื่อนที่เลือกไปเรียนโรงเรียนที่ดีกว่าในกรุงเทพ ซึ่งผมก็มองไม่เห็นความจำเป็นว่าจะเลือกไปนั่งรถไกลขึ้น รวมไปถึงต้องตื่นเช้าขึ้นทำไมกัน มีบางคนไปเรียนเตรียมวิศวะ เพื่อจะได้จบแล้วไปต่อคณะวิศวะในตอนปริญญาตรีได้ง่ายขึ้น ไม่เลย ผมไม่เคยคิดอะไรไกลขนาดนั้น อีกทั้งบางคนเปลี่ยนสาย ไปเรียนสายศิลป์ภาษา บางคนออกไปเรียนสายอาชีพ ดูเหมือนทุกคนมีทางเลือกให้กับชีวิตตัวเอง แต่สำหรับผม ไม่เลย ผมไม่เคยรู้
ตอนที่ใกล้จะจบมัธยมปีที่สาม เมื่อรู้แล้วว่าเพื่อนหลายต่อหลายคนเริ่มเลือกทางเดินชีวิตที่ต่างออกไป ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่า มันมีอะไรบางอย่างที่ผมกำลังขาดไป นั่นคือผมไม่มีเข็มทิศให้กับชีวิตตัวเอง ว่าจะไปทางใด เปรียบไปก็เหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ปล่อยให้ตัวเองโต้คลื่นแห่งชีวิตไปเรื่อยๆ ฟุตบอลที่รักก็เล่นได้ไม่เก่งเท่ากับความทุ่มเทที่ลงไป การเรียนก็ไม่รู้ว่าจะต้องเรียนอะไรต่อถึงจะดี หากแต่ผมโชคดีเหลือเกินที่ไม่เคยละทิ้งมัน จะเป็นตายร้ายดีก็จะไม่ยอมให้เกรดน้อยลงไป และในวันนั้น ผมไม่เคยรู้เลยว่า เพื่อนบางคนที่ไม่เจอกันในตอนขึ้นม.4 ไม่ใช่ว่าเขาไปเรียนที่อื่น แต่เขาไม่ได้เรียนต่อเลยต่างหาก
และบางคนผมก็ได้ยินข่าวในตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย ว่าเขาโดนตำรวจจับเพราะค้ายา บางคนก็ตายเพราะยาเสพติดบางตัว หรือบางคนก็เริ่มต้นอนาคตของเขา ด้วยการเป็นกระเป๋ารถสองแถวรับส่งผู้โดยสาร
ถึงแม้จะไม่ได้เลือก แต่ก็ถือว่าโชคดี ที่เส้นทางของผมไม่ได้เลวร้ายนัก
มันเป็นคำตอบที่ยากนะครับ สำหรับโลกในยุคสมัยนั้น ที่จะต้องตอบว่า “โตขึ้นเราอยากเป็นอะไร” ในเมื่อเราไม่มี google ให้ search ดูว่า ในโลกนี้มีอาชีพอะไรบ้าง ชีวิตเราฝากไว้กับคุณครูแนะแนว ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่กรรมแต่ดวงของใคร ว่าจะเจอครูแนะแนวที่จุดประกายทางความคิดให้เราได้ขนาดไหน อีกอย่างนึงคือเราเติบโตมาโดยที่แทบจะไม่เคยถูกสอนให้คิดอะไรเองเลย ทุกอย่างถูกกำหนดไว้โดยผู้ใหญ่เสมอ เราต้องทำตามที่พ่อแม่ขีดไว้ทุกอย่าง แล้วเช้าวันนึงเขาก็รวมหัวกับคุณครู แล้วมารุมถามเราว่า โตขึ้นเราอยากจะเดินไปในเส้นทางไหน เอาจริงๆถ้าไม่กลัวว่าจะกลายเป็นเด็กที่ก้าวร้าว เราก็อยากจะถามเหมือนกันว่า แล้วสิ่งที่บังคับให้เราทำอยู่นี้ มันจะพาเราไปทางไหนเหรอ มันจะทำให้เรา โตขึ้นไปเป็นอะไรเหรอ หรือถ้าทุกคนก็ไม่รู้ และจะบังคับให้เราทำ…ทำไมกัน
ผมอยากเป็นเด็กที่ได้เรียนเปียโน เรียนเต้น เรียนร้องเพลง เรียนบัลเลย์ เรียนเทนนิส หรือแม้กระทั่งเรียนกีตาร์ เหมือนกับเด็กที่พ่อแม่มีฐานะในสมัยนี้ได้เรียนกันเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็มีโอกาสได้เผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต เพื่อที่จะได้รู้ว่าอะไรชอบ อะไรไม่ชอบ ดีกว่าต้องมานั่งคิดเองเออเองเหมือนในยุคสมัยของผม แต่สิ่งที่จริงแท้ที่สุดในชีวิตสิ่งนึงก็คือ ไม่ว่าคุณจะตอบคำถามถึงอนาคตของตัวเองได้หรือไม่ก็ตาม แต่อนาคตของคุณก็จะต้องเกิดขึ้น เวลาไม่เคยหยุดรอให้คุณได้คำตอบเสียก่อน แล้วค่อยเดินต่อไป แต่เวลายังคงเดินไปแบบนั้น สม่ำเสมอ คงเดิมไม่เคยเปลี่ยน ผมเกลียดตอนเย็นวันอาทิตย์อยู่เสมอมาตั้งแต่จำความได้ เพราะไม่อยากไปโรงเรียนในเช้าวันจันทร์ ที่ไม่อยากไป ก็เพราะไม่รู้จะเรียนไปเพื่ออะไร ผมมองไม่เห็นปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ แต่ถึงกระนั้น ไม่มีค่ำวันอาทิตย์ไหนเลย ที่เช้าวันจันทร์ไม่มาถึง ไม่ว่าผมจะร้องไห้ฟูมฟายมากขนาดไหน มันก็ไม่เคยมีประโยชน์
และจนกระทั่งผมจบมัธยมต้น ก็สามารถสรุปได้โดยง่ายว่า “โตขึ้นผมอยากเป็นอะไร” เป็นคำถามที่ผมไม่เคยตอบตัวเองได้ชัดๆเลยสักครั้ง จนกระทั่งวัย 15 ขวบ กำลังคืบคลานเข้ามาถึง