ไม่มีใคร...ล้างรถที่เช่ามา
“ไม่มีใครล้างรถเช่า” ผมอ่านเจอประโยคนี้ในหนังสือ The Disruptor ของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ อ่านเร็วๆรอบแรกเหมือนจะไม่เข้าใจมันด้วยซ้ำ รู้สึกว่าถ้าจะให้เข้าใจง่ายขึ้น อาจจะต้องขยายมันนิดหน่อย เหมือนชื่อของบทนี้ที่ผมลองขยายดูเพื่อความเข้าใจของตัวเอง ว่าแต่ไม่รู้ทำไม ประโยคนี้ อ่านผ่านตาเพียงเสี้ยววินาที แต่ผมกลับจำมันได้ขึ้นใจ
ผมเช่ารถบ่อย เพราะเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดผมมักจะไปหลายวัน และไปกับแฟนสองคน วิธีเดินทางส่วนใหญ่ถ้าเป็นเหนือกับใต้ ก็มักจะนั่งเครื่องบินไป แล้วเช่ารถขับเอาที่โน่น อาจจะไม่ได้เดินทางไปไหนมากมายแต่เพื่อความสะดวกสบาย เราก็พร้อมจะยอมจ่ายเพื่อรถเช่าทุกครั้ง นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประโยคนี้โดนใจในทันที และที่สำคัญ ผมก็ไม่เคยล้างมันจริงๆ
แต่ถ้าใครเคยเช่ารถก็จะทราบนะครับว่า ทุกครั้งที่เรารับรถ รถมักจะถูกล้างมาอย่างสะอาดอยู่เสมอ นั่นหมายความว่า คนที่ไม่ล้าง มีเพียงแค่คนเช่า แต่เจ้าของบริษัทเช่ารถ เขาล้างมาให้เราเสมอนะครับ ถ้าทำความเข้าใจง่ายๆก็คงเป็นเหตุผลที่ว่า ลูกค้าน่าจะอยากใช้รถที่สะอาด มากกว่าจะใช้รถที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน เพราะฉะนั้นการล้างรถมาก่อนก็น่าจะช่วยเพิ่มความประทับใจให้กับลูกค้าได้ ไม่มากก็น้อย แบบเดียวกันกับเวลาเราเอารถไปซ่อมหรือตรวจเช็คตามระยะที่ศูนย์ เวลาไปรับรถเราก็จะเห็นว่า รถได้ถูกล้างมาอย่างสะอาด ส่วนหนึ่งทางศูนย์ก็คิดแล้วเช่นกันว่า รถสะอาดมันให้ความรู้สึกว่าซ่อมมาเรียบร้อยแล้ว ตรวจเช็คมาอย่างดีแล้ว ลูกค้าสามารถเอาไปใช้ต่อได้เลย จริงๆแล้วจะว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ได้ แต่เชื่อเถอะครับว่า ถ้าศูนย์ไม่ล้างมาให้ ความรู้สึกของเราต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
แล้วคุณรู้ไหมครับ ว่าทำไมถึงไม่มีใครล้างรถเช่า ถ้าถามกันตรงๆ ให้นั่งคิด ไตร่ตรองหาคำตอบ หลายคนคงบอกว่า ก็เพราะว่ามันเปลืองเงิน อยู่ดีๆจะไปเสียเงินล้างรถที่ไม่ใช่ของเราทำไม ถ้าพูดแบบนี้ สมมุติผมบอกว่ามันฟรีล่ะครับ ล้างได้ฟรีไม่ต้องเสียเงิน ก็น่าจะมีคนบอกว่า มันเสียเวลา เช่ารถมาใช้ ไม่ใช่มาล้าง ต้องมานั่งคอยอีก ต่อให้ไม่เสียเงินก็เสียเวลา ไม่เอาดีกว่า แต่เชื่อหรือเปล่าครับ ในความเป็นจริง ไม่มีใครมานั่งคิดว่าเสียเงิน เสียเวลา หรือเสียอะไรหรอก เพราะเราไม่ได้คิดจะล้างอยู่แล้วตั้งแต่แรกต่างหาก ไม่ได้คิดถึงมันเลย ก็เลยไม่มีเหตุผลว่าทำไมเราไม่ล้าง และคำตอบเดียวที่ใช่ สำหรับกรณีนี้ก็คือ เพราะมันไม่ใช่รถของเราไงล่ะครับ
ซึ่งประโยคนี้ จริงๆแล้วเป็นคำที่พยายามจะเปรียบเทียบให้เห็นในเรื่องของความมี Ownership หรือความเป็นเจ้าของ ซึ่งมันจะสัมพันธ์กับ Engagement หรือความผูกพัน และที่ชัดเจนที่สุดก็คือเปรียบเทียบในเรื่องของงานนั่นเอง หมายความว่า คุณจะไม่รู้สึกว่าอยากจะทำให้งานของคุณดีขึ้น ถ้าหากคุณรู้สึกว่า งานนี้ไม่ใช่ของคุณ หรือถ้าเปรียบเทียบก็คือไม่ใช่รถคุณ มันเป็นเพียงรถเช่าเท่านั้นเอง
ในยุคสมัยที่ทุกคนอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ “อายุน้อยร้อยล้าน” ใครหลายคนใฝ่ฝันจะเป็นเจ้าของกิจการ อยากก้าวไปเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากทำ Startups หรืออยากทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องทำงานออฟฟิศเช้าจรดเย็น จันทร์ถึงศุกร์ และด้วยบรรยากาศเร่งเร้าจากกูรูมากมาย เร่งกันไปเร่งกันมา พนักงานประจำ พนักงานมืออาชีพ หรือมนุษย์เงินเดือน ก็ถูกกดดันให้ตัวเองรู้สึกด้อยค่าลงไปทุกวัน มากที่สุดก็คือประโยคที่ว่า คนเหล่านี้ขายเวลาของตัวเอง ขายร่างกายของตัวเอง เพื่อทำความความฝันของคนอื่น
งานที่ทำอยู่ ไม่ใช่เพื่อความฝันของตัวเอง เอาเวลาทั้งชีวิตมาแลกกับเงิน ช่างน่าสงสารในความต่ำต้อยทางความคิดเสียเหลือเกิน ไม่ว่าคุณจะทำหน้าที่อะไรอยู่ อยู่ในองค์กรไหน เงินเดือนเท่าไร ก็ไม่มีทางที่งานของคุณจะมีคุณค่าไปกว่าการลาออกไปเปิดร้านกาแฟ ซึ่งมันคืองานที่ไม่ต้องทำเพื่อความฝันของคนอื่น แต่ทำเพื่อความฝันของตัวเอง ซึ่งนั่นล่ะครับ มันคือรถของตัวเอง รถที่คุณพร้อมจะล้างมันได้ตลอดทั้งวัน เพราะคุณรู้สึกว่ามันเป็นของคุณจริงๆ
ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะกระแสของการเป็นเจ้าของธุรกิจในโลกยุคใหม่นี้หรือเปล่า แต่พูดตามตรง ผมก็เคยเจอผู้คนที่ทำงานเป็นพนักงานกินเงินเดือน แล้วรู้สึกว่างานนี้เป็นเพียงแค่รถเช่าของเขา จึงไม่จำเป็นต้องล้าง ไม่ต้องเรียนเพิ่มเติมเพื่อหาความรู้ ไม่ต้องตั้งใจทำงานอะไรมากมาย เพราะเงินเดือนก็ไม่ได้ขึ้นเยอะแยะ ไม่ต้องทำดีต่อเพื่อนร่วมงาน เพราะไม่ได้หวังว่าจะทำงานอยู่ที่นี่นาน ที่ไหนให้เงินเดือนดีกว่าก็พร้อมจะไป และที่สำคัญยังก่นด่า ว่ากล่าวเพื่อนร่วมงาน ว่าหัวหน้าตัวเอง ให้ร้ายบริษัทตัวเองทุกวี่ทุกวันในสังคมออนไลน์ เรียกว่าไม่ได้รู้สึกเป็นเจ้าของงาน ไม่มีความผูกพันอะไรแม้แต่น้อย ความสัมพันธ์มีเพียงแค่มานั่งทำงานให้ และก็รับเงินเดือนก็เท่านั้น ว่าแต่ว่า แล้วพวกคุณล่ะครับ มีใครทำงานกินเงินเดือนอยู่หรือเปล่า แล้วคิดว่า คุณเป็นเจ้าของงานนี้หรือเปล่า กำลังทำตามความฝันของตัวเองไหม หรือความฝันของใคร
ส่วนตัวผม การทำตามความฝันนั้นก็มีข้อดี ซึ่งถ้าคุณมีโอกาสทำได้ และเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวได้ ก็ยินดีด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนที่อยู่สูงกว่าคนอื่นแต่อย่างใดเลย ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรเพิ่มเติมที่จะมาว่าอะไรคนอื่นได้แม้แต่น้อย เช่นกันถ้าคุณยังไม่ได้มีโอกาสทำตามความฝันที่แท้จริง มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก แต่สิ่งที่สำคัญคือ คุณให้เกียรติตัวคุณเองหรือเปล่า ถ้าคุณให้เกียรติตัวคุณเอง ก็ควรจะส่งผ่านความเป็นตัวคุณในด้านที่ดี ลงไปในงานของคุณด้วย ความรับผิดชอบ ความมุ่งมั่น ความพยายาม การทำให้ดีที่สุดในทุกวัน การพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และอื่นๆอีกหลายสิ่งหลายอย่าง เพราะไม่ว่าคุณจะอ้างอย่างไร ผู้คนมากมายก็มองตัวตนของคุณ ผ่านงานที่คุณทำอย่างแน่นอน และด้วยงานชิ้นเดียวกัน หากคนหนึ่งมองมันเป็นรถของตัวเอง กับอีกคนมองมันเป็นรถเช่า การปฏิบัติต่อมันก็ย่อมต่างกันเป็นธรรมดา
ไม่รู้ใครคิดอย่างไร แต่ผมคนนึงไม่เคยเชื่อเลยว่า คนคนนึงที่ทำงานเป็นพนักงานที่ไม่ได้เรื่อง จะสามารถออกไปทำธุรกิจของตัวเองให้ดีได้ ถ้าเขาไม่เก่งในสิ่งที่ทำ อันนี้ผมว่าเป็นไปได้ แต่ถ้าเขาไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความมุ่งมั่น ผมว่าทำอะไรก็คงไม่สามารถจะทำให้ดีได้อย่างแน่นอน
เปรียบเทียบกัน ถ้าผมเป็นผู้บริหารแล้วอยากได้คนขับรถดีๆ เลยให้มาลองขับรถผม ให้ลองดูแลรถผม แต่เขาดันขับไม่ดี ไม่ดูแลรถอีกด้วย พอผมถาม ก็บอกว่า พอดีนี่ไม่ใช่รถเขา ก็เลยไม่จำเป็นต้องขับดี และแน่นอนไม่จำเป็นต้องดูแล แบบนี้คุณจะให้งานเขาไหม เช่นเดียวกันถ้าเจ้าของบริษัทอยากจะแบ่งหุ้นให้พนักงานในระดับสูง เขาก็จะต้องเลือกให้กับคนที่เขารู้สึกว่ามีความเป็นเจ้าของ มีความผูกพันกับบริษัท และแน่นอน ดูแลบริษัทเขาดี แล้วสำหรับคนที่อ้างว่า ทำแค่นี้ก็พอ ไม่ใช่บริษัทของเราเอง จะไปทำให้ดีทำไม คุณคิดว่าเจ้าของบริษัทจะสนใจที่จะให้หุ้นเขาหรือเปล่าล่ะครับ แน่นอนว่าไม่ ใครจะไปกล้าเสี่ยงล่ะครับ
ในชีวิตจริงแล้ว เราไม่มีทางตัดสินใครด้วยหน้าที่ที่เขาทำ หรือลักษณะงานที่เขาทำได้หรอกครับ แต่ต้องดูว่า เขาทำอย่างไรกับหน้าที่ของเขา เขาปฏิบัติอย่างไรกับงานของเขา เช่นเดียวกัน เราในฐานะคนทำงาน เราไม่มีทางรู้หรอกว่า เจ้าของรถเช่าที่เราเช่านั้น วันดีคืนดีเขาอยากจะให้รถเราหรือเปล่า อยากจะขายรถให้กับคนที่ดูแลรถได้ดีไหม และที่สำคัญ คนที่คุณขับรถผ่าน หลายคนก็ไม่รู้ว่านี่คือรถของคุณหรือรถที่คุณเช่ามา ถ้ามันไม่สะอาดเขาก็คิดว่าเป็นเพราะคุณนั่นล่ะครับที่ดูแลรถไม่ดี
ถ้าคุณมีลูกน้อง ลองดูง่ายๆก็ได้ครับ ถ้างานไหนที่เขารู้สึกว่าเป็นไอเดียของเขา จะเห็นได้ว่าเขาทำงานนั้นออกมาได้ดีกว่างานที่เป็นไอเดียของหัวหน้า หรือไอเดียของคนอื่นอย่างแน่นอนครับ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัท แต่แค่เป็นเจ้าของไอเดีย มนุษย์เราก็รู้สึกดีมากแล้วล่ะครับ
การทำงานเป็นพนักงานมืออาชีพรับเงินเดือนนั้น แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ใช่ธุรกิจหรือกิจการของเราก็จริง แต่นอกเหนือจากไอเดียแล้ว ความสามารถ ทักษะ การยอมรับ ชื่อเสียง และความสุข นั้นเป็นของเราอย่างแน่นอน ถ้าคุณคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของคุณ เป็นสิ่งที่คุณต้องรักษา เป็นสิ่งที่ต้องยึดถือเอาไว้ ผมเชื่อว่า หน้าที่การงานของคุณก็จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน ไม่รู้สิ อยู่ว่างๆ ถึงจะเป็นรถเช่า ถ้าไม่ล้าง ก็อย่าให้มันเปื้อนมากก็ดี ดูแลมันดีๆหน่อย เผื่อวันนึงเจ้าของเขาอยากยกให้คุณหรือขายต่อ ก็จะได้นึกถึงคุณเป็นอันดับต้นๆ ไหนๆเราก็ต้องเสียเวลากับมันทั้งวัน สัปดาห์ละห้าวันแล้ว เรายังจะทำแบบไม่ใส่ใจ ไม่มีความเป็นเจ้าของอีก มันอาจจะกลายเป็นเหมือนที่ใครหลายคนกำลังหาว่าเราเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานไปวันๆจริงๆก็ได้นะครับ
ไม่มีใครล้างรถที่เช่ามาก็จริง แต่ถ้ารถคันนี้เราจะเช่ามันคันเดียวไป
30 – 40 ปี ล้างมันบ้าง ก็ไม่เสียหายอะไรนี่ จริงไหมครับ
ผมเช่ารถบ่อย เพราะเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดผมมักจะไปหลายวัน และไปกับแฟนสองคน วิธีเดินทางส่วนใหญ่ถ้าเป็นเหนือกับใต้ ก็มักจะนั่งเครื่องบินไป แล้วเช่ารถขับเอาที่โน่น อาจจะไม่ได้เดินทางไปไหนมากมายแต่เพื่อความสะดวกสบาย เราก็พร้อมจะยอมจ่ายเพื่อรถเช่าทุกครั้ง นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประโยคนี้โดนใจในทันที และที่สำคัญ ผมก็ไม่เคยล้างมันจริงๆ
แต่ถ้าใครเคยเช่ารถก็จะทราบนะครับว่า ทุกครั้งที่เรารับรถ รถมักจะถูกล้างมาอย่างสะอาดอยู่เสมอ นั่นหมายความว่า คนที่ไม่ล้าง มีเพียงแค่คนเช่า แต่เจ้าของบริษัทเช่ารถ เขาล้างมาให้เราเสมอนะครับ ถ้าทำความเข้าใจง่ายๆก็คงเป็นเหตุผลที่ว่า ลูกค้าน่าจะอยากใช้รถที่สะอาด มากกว่าจะใช้รถที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน เพราะฉะนั้นการล้างรถมาก่อนก็น่าจะช่วยเพิ่มความประทับใจให้กับลูกค้าได้ ไม่มากก็น้อย แบบเดียวกันกับเวลาเราเอารถไปซ่อมหรือตรวจเช็คตามระยะที่ศูนย์ เวลาไปรับรถเราก็จะเห็นว่า รถได้ถูกล้างมาอย่างสะอาด ส่วนหนึ่งทางศูนย์ก็คิดแล้วเช่นกันว่า รถสะอาดมันให้ความรู้สึกว่าซ่อมมาเรียบร้อยแล้ว ตรวจเช็คมาอย่างดีแล้ว ลูกค้าสามารถเอาไปใช้ต่อได้เลย จริงๆแล้วจะว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ได้ แต่เชื่อเถอะครับว่า ถ้าศูนย์ไม่ล้างมาให้ ความรู้สึกของเราต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
แล้วคุณรู้ไหมครับ ว่าทำไมถึงไม่มีใครล้างรถเช่า ถ้าถามกันตรงๆ ให้นั่งคิด ไตร่ตรองหาคำตอบ หลายคนคงบอกว่า ก็เพราะว่ามันเปลืองเงิน อยู่ดีๆจะไปเสียเงินล้างรถที่ไม่ใช่ของเราทำไม ถ้าพูดแบบนี้ สมมุติผมบอกว่ามันฟรีล่ะครับ ล้างได้ฟรีไม่ต้องเสียเงิน ก็น่าจะมีคนบอกว่า มันเสียเวลา เช่ารถมาใช้ ไม่ใช่มาล้าง ต้องมานั่งคอยอีก ต่อให้ไม่เสียเงินก็เสียเวลา ไม่เอาดีกว่า แต่เชื่อหรือเปล่าครับ ในความเป็นจริง ไม่มีใครมานั่งคิดว่าเสียเงิน เสียเวลา หรือเสียอะไรหรอก เพราะเราไม่ได้คิดจะล้างอยู่แล้วตั้งแต่แรกต่างหาก ไม่ได้คิดถึงมันเลย ก็เลยไม่มีเหตุผลว่าทำไมเราไม่ล้าง และคำตอบเดียวที่ใช่ สำหรับกรณีนี้ก็คือ เพราะมันไม่ใช่รถของเราไงล่ะครับ
ซึ่งประโยคนี้ จริงๆแล้วเป็นคำที่พยายามจะเปรียบเทียบให้เห็นในเรื่องของความมี Ownership หรือความเป็นเจ้าของ ซึ่งมันจะสัมพันธ์กับ Engagement หรือความผูกพัน และที่ชัดเจนที่สุดก็คือเปรียบเทียบในเรื่องของงานนั่นเอง หมายความว่า คุณจะไม่รู้สึกว่าอยากจะทำให้งานของคุณดีขึ้น ถ้าหากคุณรู้สึกว่า งานนี้ไม่ใช่ของคุณ หรือถ้าเปรียบเทียบก็คือไม่ใช่รถคุณ มันเป็นเพียงรถเช่าเท่านั้นเอง
ในยุคสมัยที่ทุกคนอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ “อายุน้อยร้อยล้าน” ใครหลายคนใฝ่ฝันจะเป็นเจ้าของกิจการ อยากก้าวไปเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากทำ Startups หรืออยากทำอะไรก็ได้ที่ไม่ต้องทำงานออฟฟิศเช้าจรดเย็น จันทร์ถึงศุกร์ และด้วยบรรยากาศเร่งเร้าจากกูรูมากมาย เร่งกันไปเร่งกันมา พนักงานประจำ พนักงานมืออาชีพ หรือมนุษย์เงินเดือน ก็ถูกกดดันให้ตัวเองรู้สึกด้อยค่าลงไปทุกวัน มากที่สุดก็คือประโยคที่ว่า คนเหล่านี้ขายเวลาของตัวเอง ขายร่างกายของตัวเอง เพื่อทำความความฝันของคนอื่น
งานที่ทำอยู่ ไม่ใช่เพื่อความฝันของตัวเอง เอาเวลาทั้งชีวิตมาแลกกับเงิน ช่างน่าสงสารในความต่ำต้อยทางความคิดเสียเหลือเกิน ไม่ว่าคุณจะทำหน้าที่อะไรอยู่ อยู่ในองค์กรไหน เงินเดือนเท่าไร ก็ไม่มีทางที่งานของคุณจะมีคุณค่าไปกว่าการลาออกไปเปิดร้านกาแฟ ซึ่งมันคืองานที่ไม่ต้องทำเพื่อความฝันของคนอื่น แต่ทำเพื่อความฝันของตัวเอง ซึ่งนั่นล่ะครับ มันคือรถของตัวเอง รถที่คุณพร้อมจะล้างมันได้ตลอดทั้งวัน เพราะคุณรู้สึกว่ามันเป็นของคุณจริงๆ
ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะกระแสของการเป็นเจ้าของธุรกิจในโลกยุคใหม่นี้หรือเปล่า แต่พูดตามตรง ผมก็เคยเจอผู้คนที่ทำงานเป็นพนักงานกินเงินเดือน แล้วรู้สึกว่างานนี้เป็นเพียงแค่รถเช่าของเขา จึงไม่จำเป็นต้องล้าง ไม่ต้องเรียนเพิ่มเติมเพื่อหาความรู้ ไม่ต้องตั้งใจทำงานอะไรมากมาย เพราะเงินเดือนก็ไม่ได้ขึ้นเยอะแยะ ไม่ต้องทำดีต่อเพื่อนร่วมงาน เพราะไม่ได้หวังว่าจะทำงานอยู่ที่นี่นาน ที่ไหนให้เงินเดือนดีกว่าก็พร้อมจะไป และที่สำคัญยังก่นด่า ว่ากล่าวเพื่อนร่วมงาน ว่าหัวหน้าตัวเอง ให้ร้ายบริษัทตัวเองทุกวี่ทุกวันในสังคมออนไลน์ เรียกว่าไม่ได้รู้สึกเป็นเจ้าของงาน ไม่มีความผูกพันอะไรแม้แต่น้อย ความสัมพันธ์มีเพียงแค่มานั่งทำงานให้ และก็รับเงินเดือนก็เท่านั้น ว่าแต่ว่า แล้วพวกคุณล่ะครับ มีใครทำงานกินเงินเดือนอยู่หรือเปล่า แล้วคิดว่า คุณเป็นเจ้าของงานนี้หรือเปล่า กำลังทำตามความฝันของตัวเองไหม หรือความฝันของใคร
ส่วนตัวผม การทำตามความฝันนั้นก็มีข้อดี ซึ่งถ้าคุณมีโอกาสทำได้ และเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัวได้ ก็ยินดีด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนที่อยู่สูงกว่าคนอื่นแต่อย่างใดเลย ไม่ได้มีสิทธิ์อะไรเพิ่มเติมที่จะมาว่าอะไรคนอื่นได้แม้แต่น้อย เช่นกันถ้าคุณยังไม่ได้มีโอกาสทำตามความฝันที่แท้จริง มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก แต่สิ่งที่สำคัญคือ คุณให้เกียรติตัวคุณเองหรือเปล่า ถ้าคุณให้เกียรติตัวคุณเอง ก็ควรจะส่งผ่านความเป็นตัวคุณในด้านที่ดี ลงไปในงานของคุณด้วย ความรับผิดชอบ ความมุ่งมั่น ความพยายาม การทำให้ดีที่สุดในทุกวัน การพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และอื่นๆอีกหลายสิ่งหลายอย่าง เพราะไม่ว่าคุณจะอ้างอย่างไร ผู้คนมากมายก็มองตัวตนของคุณ ผ่านงานที่คุณทำอย่างแน่นอน และด้วยงานชิ้นเดียวกัน หากคนหนึ่งมองมันเป็นรถของตัวเอง กับอีกคนมองมันเป็นรถเช่า การปฏิบัติต่อมันก็ย่อมต่างกันเป็นธรรมดา
ไม่รู้ใครคิดอย่างไร แต่ผมคนนึงไม่เคยเชื่อเลยว่า คนคนนึงที่ทำงานเป็นพนักงานที่ไม่ได้เรื่อง จะสามารถออกไปทำธุรกิจของตัวเองให้ดีได้ ถ้าเขาไม่เก่งในสิ่งที่ทำ อันนี้ผมว่าเป็นไปได้ แต่ถ้าเขาไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความมุ่งมั่น ผมว่าทำอะไรก็คงไม่สามารถจะทำให้ดีได้อย่างแน่นอน
เปรียบเทียบกัน ถ้าผมเป็นผู้บริหารแล้วอยากได้คนขับรถดีๆ เลยให้มาลองขับรถผม ให้ลองดูแลรถผม แต่เขาดันขับไม่ดี ไม่ดูแลรถอีกด้วย พอผมถาม ก็บอกว่า พอดีนี่ไม่ใช่รถเขา ก็เลยไม่จำเป็นต้องขับดี และแน่นอนไม่จำเป็นต้องดูแล แบบนี้คุณจะให้งานเขาไหม เช่นเดียวกันถ้าเจ้าของบริษัทอยากจะแบ่งหุ้นให้พนักงานในระดับสูง เขาก็จะต้องเลือกให้กับคนที่เขารู้สึกว่ามีความเป็นเจ้าของ มีความผูกพันกับบริษัท และแน่นอน ดูแลบริษัทเขาดี แล้วสำหรับคนที่อ้างว่า ทำแค่นี้ก็พอ ไม่ใช่บริษัทของเราเอง จะไปทำให้ดีทำไม คุณคิดว่าเจ้าของบริษัทจะสนใจที่จะให้หุ้นเขาหรือเปล่าล่ะครับ แน่นอนว่าไม่ ใครจะไปกล้าเสี่ยงล่ะครับ
ในชีวิตจริงแล้ว เราไม่มีทางตัดสินใครด้วยหน้าที่ที่เขาทำ หรือลักษณะงานที่เขาทำได้หรอกครับ แต่ต้องดูว่า เขาทำอย่างไรกับหน้าที่ของเขา เขาปฏิบัติอย่างไรกับงานของเขา เช่นเดียวกัน เราในฐานะคนทำงาน เราไม่มีทางรู้หรอกว่า เจ้าของรถเช่าที่เราเช่านั้น วันดีคืนดีเขาอยากจะให้รถเราหรือเปล่า อยากจะขายรถให้กับคนที่ดูแลรถได้ดีไหม และที่สำคัญ คนที่คุณขับรถผ่าน หลายคนก็ไม่รู้ว่านี่คือรถของคุณหรือรถที่คุณเช่ามา ถ้ามันไม่สะอาดเขาก็คิดว่าเป็นเพราะคุณนั่นล่ะครับที่ดูแลรถไม่ดี
ถ้าคุณมีลูกน้อง ลองดูง่ายๆก็ได้ครับ ถ้างานไหนที่เขารู้สึกว่าเป็นไอเดียของเขา จะเห็นได้ว่าเขาทำงานนั้นออกมาได้ดีกว่างานที่เป็นไอเดียของหัวหน้า หรือไอเดียของคนอื่นอย่างแน่นอนครับ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัท แต่แค่เป็นเจ้าของไอเดีย มนุษย์เราก็รู้สึกดีมากแล้วล่ะครับ
การทำงานเป็นพนักงานมืออาชีพรับเงินเดือนนั้น แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ใช่ธุรกิจหรือกิจการของเราก็จริง แต่นอกเหนือจากไอเดียแล้ว ความสามารถ ทักษะ การยอมรับ ชื่อเสียง และความสุข นั้นเป็นของเราอย่างแน่นอน ถ้าคุณคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของคุณ เป็นสิ่งที่คุณต้องรักษา เป็นสิ่งที่ต้องยึดถือเอาไว้ ผมเชื่อว่า หน้าที่การงานของคุณก็จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน ไม่รู้สิ อยู่ว่างๆ ถึงจะเป็นรถเช่า ถ้าไม่ล้าง ก็อย่าให้มันเปื้อนมากก็ดี ดูแลมันดีๆหน่อย เผื่อวันนึงเจ้าของเขาอยากยกให้คุณหรือขายต่อ ก็จะได้นึกถึงคุณเป็นอันดับต้นๆ ไหนๆเราก็ต้องเสียเวลากับมันทั้งวัน สัปดาห์ละห้าวันแล้ว เรายังจะทำแบบไม่ใส่ใจ ไม่มีความเป็นเจ้าของอีก มันอาจจะกลายเป็นเหมือนที่ใครหลายคนกำลังหาว่าเราเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานไปวันๆจริงๆก็ได้นะครับ
ไม่มีใครล้างรถที่เช่ามาก็จริง แต่ถ้ารถคันนี้เราจะเช่ามันคันเดียวไป
30 – 40 ปี ล้างมันบ้าง ก็ไม่เสียหายอะไรนี่ จริงไหมครับ