“ความลับของที่ทำงาน”
หลังจาก 11 ความลับพลิกชีวิต ไม่ได้มียอดขายที่เป็นดังคาด ผมไม่ย่อท้อเพราะคิดว่าอย่างน้อยประตูสู่วงการนี้ก็เปิดกว้างสำหรับผมแล้ว ต้นฉบับต่อไปถูกเค้นออกมาจากสมองน้อยๆทันที ในช่วงนั้นผมกำลังบ้ากับการทำงานมาก พยายามเร่งทำผลงานเพื่อให้ได้รับการโปรโมตและโบนัสที่เพิ่มขึ้น ผมเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับการทำงานในองค์กรมากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือของพนักงานในระดับผู้จัดการหรือผู้บริหารขึ้นไป น้อยเล่มที่จะพูดถึงการพัฒนาพนักงานในระดับคนทำงานทั่วไป ผมจึงอยากมีหนังสือแบบนั้นมาประดับวงการสักหนึ่งเล่ม และด้วยจำนวนหนังสือมากมายที่ผมอ่านในช่วงนั้น มันก็พอที่จะตกผลึกอะไรได้บ้าง จากนั้นเลยลองเริ่มต้นเอาเคล็ดลับเหล่านั้นมาปฏิบัติดูก่อน ได้ผลดีก็จดเก็บไว้ นอกเหนือจากนั้นก็คิดเพิ่มมาอีกหลายข้อ สุดท้ายผมก็ได้รับการประเมินผลที่ดีและแตกต่างจากการทำงาน 6 – 7 ปีที่ผ่านมาแบบผิดหูผิดตา จนกระทั่งเชื่ออย่างสนิทใจว่าเคล็ดลับเหล่านั้นคือของจริง ผมเริ่มต้นร่างหัวข้ออย่างพรั่งพรู จากนั้นค่อยๆเติมเต็มในแต่ละหัวข้อ วันละ 3 – 4 หัวข้อ ไม่ถึงเดือนต้นฉบับก็เสร็จสิ้น น่าแปลกที่สำนักพิมพ์เดิมบอกว่ายังไม่ได้มาตรฐาน ไม่ต้องห่วงเพราะผมส่งไปเกือบ 20 ที่เช่นเดิม แล้วก็โชคดีที่ผมได้พิมพ์กับสำนักพิมพ์ใหม่ คราแรกผมไม่ได้ใช้ชื่อที่ออกมานี้แต่ส่งไปในชื่อ “มนุษย์เงินเดือนขั้นเทพ” ชื่อเรื่องถูกเปลี่ยนก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยแต่โชคดีที่หน้าปกออกมาได้สวยถูกใจผมมาก เล่มนี้ค่อนข้าง practical หรือเป็นจริงในทางปฏิบัติมากกว่า 11 ความลับพลิกชีวิต ผมเชื่อว่าหากใครได้อ่านแล้วเอาไปปฏิบัติแล้วล่ะก็ หน้าที่การงานก็จะก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ความลับของที่ทำงานพิมพ์ครั้งแรกถึง 4,500 เล่ม เรียกได้ว่ามากกว่าปกติสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ ผ่านไปเกือบสองปีมันขายได้เกินครึ่งนึงของยอดที่พิมพ์ คำนวณแล้วขายได้มากกว่า 11 ความลับพลิกชีวิต ประมาณ 5 เท่า นั่นทำให้เส้นทางความฝันชัดเจนขึ้นมากทีเดียว นอกเหนือจากนั้นยังสามารถใช้หัวข้อในหนังสือไปบรรยายในบริษัทเอกชนได้อีกด้วย ถือว่ามีรายได้เพิ่มมาอีกทางนึงโดยไม่รู้ตัว เรียกได้ว่าความลับของที่ทำงานถูกพิมพ์ออกมาในช่วงเวลาที่ passion ของผมกำลังอยู่ในเรื่องนี้ และผมเชื่อว่า passion ที่ถูกส่งผ่านไปในหนังสือจะช่วยทำให้หน้าที่การงานของทุกคนดีขึ้น หากใครที่ยังรู้สึกว่าได้รับผลตอบแทนจากการทำงานน้อยเกินไป ได้รับการประเมินผลที่ไม่ดีเทียบเท่ากับสิ่งที่ตัวเองลงมือลงแรงไป ผมเชื่อว่าหนังสือของผมเล่มนี้จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง และความลับที่ผมค้นพบก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป เอาล่ะถึงตอนนี้ ความสำเร็จในหน้าที่การงานของคุณขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณแล้ว
0 Comments
“11 ความลับพลิกชีวิต”
ผมมีความฝันที่จะมีต้นฉบับของตัวเองตีพิมพ์สู่สาธารณะมาตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย แต่พยายามฝึกหัดเขียนอย่างไรก็ดูจะไม่เข้าท่าเข้าทางอย่างที่คิด ช่วงแรกก็คิดว่าคงเป็นเพราะเรายังฝึกฝนไม่เพียงพอ นานเข้าก็รู้สึกว่าหรือมันจะไม่ใช่เส้นทางที่เหมาะสมของเรา จะทิ้งความฝันทั้งทีก็ต้องเอาให้แน่ใจ ก็เลยตัดสินใจไปเรียนการเขียนถึงสองครั้ง ครั้งแรกบทความก็ชนะในกลุ่มของผู้เรียนด้วยกัน จึงได้ตีพิมพ์ในนิตยสารรายเดือนของสำนักพิมพ์ ครั้งที่สองเรื่องสั้นก็ติดอยู่ในกลุ่มของผู้ชนะเช่นเดิม แล้วก็มีหนังสือรวมเรื่องสั้นกับเพื่อนๆที่เรียนด้วยกันออกสู่ท้องตลาด มันเหมือนสำเร็จแต่ก็ยังไม่สุดเพราะไม่ใช่หนังสือของเราคนเดียว ถึงกระนั้นสองครั้งนี้ก็เป็นการยืนยันกับตัวเองว่าเส้นทางนี้ เราพอเดินได้นี่นา จากนั้นยังไม่มีเวลาและต้นฉบับในหัวก็เลยเว้นวรรคไปช่วงนึง หันมาอบรมการเป็นโค้ชชีวิตและโค้ชผู้บริหารเพื่อหาอะไรใหม่ๆในชีวิตทำ สุดท้ายในคอร์สมีการบังคับให้ต้องตั้งเป้าหมายในอนาคต ก็เลยหนีไม่พ้นต้องกลับมาพูดถึงเรื่องการเขียนหนังสืออีกครั้ง เพื่อนๆพี่ๆที่เรียนร่วมกันก็ช่วยกันโค้ชหวังที่จะให้เราประสบความสำเร็จ ประจวบเหมาะกับคุณแม่ของแฟนสาวเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาล เราต้องนอนเฝ้าอยู่ร่วมเดือนเลยกลายเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะปั่นต้นฉบับ อยู่ดีๆก็มีความคิดแว็บเข้ามาว่า ถ้าเป็นแบบเรื่องสั้นที่สร้างแรงบันดาลใจก็คงจะอ่านสนุกดี เล่าเรื่องราวแบบไม่ซับซ้อนแต่เต็มไปด้วยข้อคิดสอนใจ วางโครงเรื่องและลงรายละเอียดไม่นานต้นฉบับก็เสร็จสิ้น หลังจากระดมส่งไปร่วม 20 สำนักพิมพ์ เสียงโทรศัพท์จากสวรรค์ก็โทรมา นั่งแท็กซี่กลับบ้านไปด้วยคุยสายไปด้วย รู้สึกอิ่มเอม ขนลุกไปทั้งตัวอย่างบอกไม่ถูก เปิดประตูบ้านได้ก็โผเข้าไปกอดแฟน สองคนน้ำตานองหน้าโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ได้แต่เขย่าตัวกันสองคนและพูดเบาๆว่า สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว ถึงแม้สุดท้ายแล้วสามปีผ่านไปหนังสือเล่มนี้ไม่ได้มียอดขายที่ดีนัก แต่ถึงกระนั้นทุกคนที่ได้อ่านไม่เคยมีใครบอกว่ามันคือหนังสือที่ไม่ดี หนังสือดีกับหนังสือขายดีนั้นต่างกันเราเข้าใจตรงจุดนี้เป็นอย่างดี และถึงวินาทีนี้ที่กำลังจะมีหนังสือเล่มที่ 6 ของตัวเองออกวางตลาด ผมยังคงยืนยันว่า 11 ความลับพลิกชีวิตคือหนังสือที่ดีที่สุดของผม ซึ่งผมอาจจะเขียนในรูปแบบนี้ได้ไม่ดีเท่านี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าคุณชื่นชอบหนังสือของผมไม่ว่าเล่มไหนก็ตาม ผมอยากให้คุณลองอ่านหนังสือเล่มเล็กๆที่บรรจุความฝันอันยิ่งใหญ่ของผมเล่มนี้ดู ผมเชื่อว่าไม่มีทางผิดหวังอย่างแน่นอน “เมื่อฉันอายุ 30”
ระหว่างกำลังขับรถกลับบ้านตอนค่ำๆ ผมเปรยบอกแฟนที่นั่งข้างๆว่า ความลับของที่ทำงานออกมาหลายเดือนแล้ว ยังคิดต้นฉบับใหม่ไม่ออกเลย ความเงียบเข้าเกาะกุมในรถสักพักใหญ่ แล้วก็เป็นเธอที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เราเขียนถึงสิ่งที่เราได้เรียนรู้ในวัยนี้กันดีไหม ประโยคเดียวในค่ำคืนนั้นปลดล็อคต้นฉบับใหม่ของผมทั้งหมด เช้าวันถัดมาผมเริ่มกระบวนการสอบถามตัวเอง ชีวิตที่ผ่านมาเรียนรู้อะไรมาบ้าง จะว่าง่ายก็ง่ายแต่จะว่ายากมันก็ยาก เพราะบางทีเราก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรชีวิตมากมายขนาดนั้น แต่สุดท้ายผมก็ใช้เวลาร่วมเดือนเพื่อรวบรวม 30 หัวข้อนั้นออกมา ถัดจากนั้นใช้เวลาอีก 2 เดือนเพื่อเติมเต็มรายละเอียดในแต่ละหัวข้อ จะว่าไปนี่ถือเป็นต้นฉบับที่ผมทำงานนานที่สุด บอกตามตรงในตอนที่ผมเขียนเสร็จผมไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวมันเท่าไร อาจเพราะมันดูไม่มีจุดร่วมกันในแต่ละหัวข้อ และผมก็ไม่ใช่คนดังในวงการใดๆ แล้วใครล่ะจะมาสนใจประสบการณ์ของผม คราวนี้ผมได้สำนักพิมพ์ใหม่มาร่วมงานด้วยอีกครั้ง สิ่งที่แตกต่างคือการคุยกันครั้งนี้เราคุยกันไว้ว่าอาจจะมีการร่วมงานกันยาวๆมากกว่าหนึ่งเล่ม อีกทั้งนี่เป็นครั้งแรกที่ต้นฉบับผมถูกบรรณาธิการมืออาชีพให้ทัศนะในการปรับแก้ไข และผมก็ยึดถือในคำแนะนำนั้นตลอดมา เห็นหน้าปกและเนื้อในครั้งแรกผมชอบมัน สีเหลืองอาจจะไม่ใช่สีที่ผมชอบมากนักแต่โดยภาพรวมทั้งเล่มผมกลับชอบ ถึงกระนั้นก็มีหลายคนติติงมาว่าสีนี้มันอ่านยาก ผมก็ยินดีน้อมรับฟัง พอหนังสือวางขายทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผมได้รับ feedback กลับมาค่อนข้างดีและก็มีจำนวน feedback ที่เยอะมากกว่าสองเล่มก่อนนี้รวมกัน เพียงไม่นานผมก็เห็นเล่มพิมพ์ครั้งที่ 2 ออกมา แน่นอนนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หนังสือผมถูกพิมพ์เพิ่มครั้งที่ 2 มากไปกว่านั้น “เมื่อฉันอายุ 30” ปัจจุบันยังมีการพิมพ์ครั้งที่ 3 ออกมาแล้ว วางแผงมาประมาณ 6 เดือนกับการพิมพ์ 3 ครั้งและยอดขายแซง “ความลับของที่ทำงาน” ไปแล้ว นอกเหนือจากนั้นผมยังมีอีกสองงานที่ต่อยอดมาจากหนังสือเล่มนี้ ถือเป็นอีกเล่มนึงที่เปิดประตูสู่เวทีนักเขียนให้กว้างขึ้นไปอีก พอมียอดขายที่ดี ผมจึงนั่งลงอ่านหนังสือตัวเองอีกครั้ง แล้วก็พบว่ามันสื่อสารกับคนอ่านได้ดีกว่าสองเล่มก่อนหน้านี้ เพราะผมเอาชีวิตของผมมาตีแผ่ให้ได้เรียนรู้กัน ผมขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมทำให้หนังสือเล่มนี้ขายดี และถ้าใครยังไม่ได้อ่าน ผมก็อยากจะเชิญชวน ถ้าคุณอ่านจบก็เหมือนสนิทกับผมไปเรียบร้อยแล้ว มีน้องคนนึงบอกผมว่า ไม่แน่นะหนังสือเล่มนี้ของพี่อาจจะขายดีไปอย่างยาวนานเลยก็ได้ ผมถามเขาว่าทำไม “ก็โลกของเรามีคนอายุสามสิบเพิ่มขึ้นทุกวันไงครับพี่” นั่นสินะ |
Coach Eak
Archives |